เปลี่ยนแบตรถยนต์ ควรทำบ่อยแค่ไหน แบตเตอรี่รถยนต์ใช้ได้กี่ปี

เปลี่ยนแบตรถยนต์ ควรทำบ่อยแค่ไหน แบตเตอรี่รถยนต์ใช้ได้กี่ปี

การ เปลี่ยนแบตรถยนต์ นับว่า เป็นปัญหาระดับชาติ เพราะมีปัจจัยมากมายที่ส่งผลต่อ อายุแบตเตอรี่รถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการขับขี่ การใช้งานบรรทุกของหนัก ชาร์จแบตมือถือบนรถบ่อย หรือแม้แต่สภาพอากาศที่ร้อนจัดก็มีส่วนที่ทำให้แบตรถยนต์เสื่อมสภาพได้ง่าย ทำให้ไม่มีคำตอบที่ตายตัวได้ว่า แบตเตอรี่รถยนต์ใช้ได้กี่ปี และจะรู้ได้อย่างไรว่า ถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีมาตรฐานบางอย่างที่เจ้าของรถสามารถยึดถือเกี่ยวกับการ เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ รวมถึงจุดสังเกตว่า ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์เมื่อไหร่ และ อายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์เป็นอย่างไร ดังต่อไปนี้

ซื้อรถมือสอง กับ CARSOME การันตีคุณภาพรถยนต์ ผ่านการตรวจเช็กอย่างละเอียดถึง 175 จุดพร้อมปรับสภาพให้ได้มาตรฐาน รับประกันสูงสุด 2 ปีเต็ม ราคาโปร่งใส คุ้มค่า ซื้อไปแล้วไม่พอใจ การันตีคืนเงินภายใน 30 วัน

นึกถึง รถมือสอง ต้อง CARSOME

ซื้อรถยนต์มือสอง

ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ เมื่อไหร่

แบตเตอรี่รถยนต์ใช้ได้กี่ปี

โดยปกติแล้ว แบตเตอรี่รถยนต์ก็เหมือนกับแบตเตอรี่ประเภทอื่นๆ ที่จำเป็นต้องได้รับการชาร์จไฟ โดยประสิทธิภาพการใช้งานก็จะลดลงทุกครั้งหลังจากการชาร์จ ดังนั้น ระยะเวลาที่ว่า แบตเตอรี่รถยนต์ใช้งานได้กี่ปี จึงขึ้นอยู่กับประเภทของแบตเตอรี่ที่ใช้และการดูแลอย่างเหมาะสมเป็นหลัก

แบตเตอรี่รถยนต์แบบแห้งที่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องอาจมีอายุการใช้งานได้นานถึง 5 ปี แต่ถ้าอ้างอิงตามการใช้งานโดยปกติแล้ว อายุของแบตเตอรี่จะอยู่ที่ประมาณ 2 ปีโดยเฉลี่ย โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้

อายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ ขึ้นกับอะไรบ้าง

1. สภาพอากาศ

สภาพอากาศที่อุณหภูมิร้อนจัดหรือเย็นจัดจนเกินไปจะทำให้อายุของแบตเตอรี่สั้นลง ดังนั้น หารถอยู่บริเวณสภาพอากาศดังกล่าว ก็อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์บ่อยกว่าปกติ

2. ลักษณะการใช้งานรถยนต์

ทั้งระยะทางการขับขี่ในชีวิตประจำวันและความถี่ในการใช้รถย่อมส่งผลต่ออายุแบตเตอรี่รถยนต์ ยกตัวอย่างเช่น รถที่วิ่งในระยะทางสั้นๆ แต่ละวันจะมีอายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นกว่ารถที่วิ่งระยะทางไกลๆ เนื่องจากระยะทางวิ่งไม่มากเพียงพอที่จะสามารถชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ในระหว่างการขับขี่ได้

ยิ่งถ้าเป็นรถที่ถูกจอดทิ้งไว้ในที่จอดรถเป็นระยะเวลานาน อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ก็ยิ่งสั้นลงตามระยะเวลาที่เจ้าของจอดรถทิ้งไว้โดยไม่มีการใช้งาน หรือคอยดูแลสตาร์ทเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอด้วย

3. การชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าบนรถ

อย่างที่ทราบกันดีว่า แบตเตอรี่รถยนต์มีหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้าเพื่อป้อนระบบการทำงานของบางชิ้นส่วนภายในรถที่มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำงาน เช่น ระบบไฟต่างๆ เป็นต้น ดังนั้น การชาร์จอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้า เช่น กล้องติดรถยนต์, โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ บนรถยนต์ทำให้กระแสไฟฟ้าถูกแบ่งไปยังอุปกรณ์เหล่านี้ และแบตเตอรี่ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อให้กระแสไฟฟ้าเพียงพอสำหรับระบบภายในรถทั้งหมด

ยิ่งถ้ามีการใช้งานโทรศัพท์มือถือระหว่างที่กำลังชาร์จอยู่บนรถ โทรศัพท์มือถือก็จะยิ่งดึงกระแสไฟฟ้าจากรถยนต์มาใช้เป็นจำนวนมากขึ้น ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์อายุสั้นลงและเสื่อมเร็วขึ้นนั่นเอง

4. ประเภทของแบตเตอรี่

โดยปกติแล้ว แบตเตอรี่รถยนต์จะแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ แบตเตอรี่แบบเปียก, แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง และแบตเตอรี่แบบแห้ง โดยแบตเตอรี่แบบเปียกต้องอาศัยการเติมน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และมีอายุการใช้งาน 1-2 ปี ขณะที่ แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้งก็อาศัยการเติมน้ำกลั่นเช่นเดียวกัน โดยจะต้องเติมน้ำกลั่นอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และจะมีอายุการใช้งานใกล้เคียงกับแบบเปียกคือ ประมาณ 1-2 ปี สูงสุดไม่เกิน 3 ปี

สำหรับแบตเตอรี่แบบแห้งจะเป็นแบตเตอรี่แบบไม่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่นจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี จึงได้รับความนิยมมากเพราะ สะดวกสบาย ดูแลง่าย และมีอายุการใช้งานที่นานกว่าประเภทอื่นๆ แต่ราคาก็จะค่อนข้างสูงกว่าแบตเตอรี่ประเภทอื่นๆ เช่นกัน

ควร เปลี่ยนแบตรถยนต์ เมื่อไหร่

รู้หรือไม่ ควร เปลี่ยนแบตรถยนต์ ตอนไหน แบตเตอรี่รถยนต์ใช้ได้กี่ปี แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมดูยังไง สัญญาณบ่งบอกว่า แบตเตอรี่รถยนต์อ่อน มีอะไรบ้าง ไปดูกัน

ถึงแม้ว่า แบตเตอรี่รถยนต์ที่ได้รับการดูแลอย่างดีจะสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 5 ปีดังที่กล่าวมาแล้ว แต่การใช้งานแบตเตอรี่ย่อมมีปัจจัยที่ทำให้ แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม เร็วขึ้นตามรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันไป จึงไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า แบตเตอรี่รถยนต์ทุกคันจะสามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึง 5 ปี

ดังนั้น คำแนะนำว่า ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์เมื่อไหร่ จากผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จะกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมคือ ควรเปลี่ยนทุกๆ 18 เดือน เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และป้องกันแบตเตอรี่เสื่อมกลางคันนั่นเอง

อาการแบบนี้! ควร เปลี่ยนแบตรถยนต์

อาการแบบนี้! ควร เปลี่ยนแบตรถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม ดูยังไง สังเกตสัญญาณต่อไปนี้! อาการที่บ่งบอกได้ทันทีเลยว่า ถึงเวลาแล้วที่รถต้องการการ เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ แล้ว ถึงแม้ว่าจะยังใช้งานได้ไม่ถึงปีครึ่งก็ตาม เพราะอาการต่อไปนี้คือ สัญญาณบ่งบอกว่า แบตเตอรี่รถยนต์อ่อน และเริ่มเสื่อมสภาพ และถ้าหากไม่ยอม เปลี่ยนแบตรถ ในเร็วๆ นี้ก็อาจจะต้องประสบปัญหารถสตาร์ทไม่ติด หรือดับกลางคัน ทำให้ต้องเสียทั้งเวลาและอาจจะเสียค่าใช้จ่ายที่มากกว่า ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ โดยไม่จำเป็นอีกด้วย ซึ่งสัญญาณบอกอาการ แบตอ่อน ควรเปลี่ยนแบตใหม่มีดังนี้

1. รถสตาร์ทยากกว่าปกติ

เวลาที่เริ่มสตาร์ทรถในแต่ละครั้ง รู้สึกได้ว่า รถสตาร์ทติดยากกว่าปกติ แถมมีเสียงดังแชะๆ ตลอดเวลาซึ่งเป็นสัญญาณว่า ไดสตาร์ตไม่ทำงาน ขณะที่เสียงเครื่องยนต์ก็เริ่มหมุนช้า หมายความได้ว่า รถคันนี้ได้รับการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ครั้งสุดท้ายเมื่อนานมากแล้ว และแบตเตอรี่รถยนต์ลูกปัจจุบันก็เริ่มมีปัญหา ให้ลองตรวจเช็คและเตรียมตัวเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ได้เลย

2. ไฟหน้ารถไม่สว่างเท่าที่ควร

อีกอาการที่บ่งบอกได้ว่า เจ้าของรถควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ได้แล้วก็คือ แสงสว่างจากไฟหน้ารถไม่สว่างเหมือนปกติ เพราะถ้าหากพบว่า ไฟหน้ารถมีแสงน้อยลง ไม่สว่างเหมือนเดิม หมายความว่า ระบบไฟฟ้าภายในรถกำลังอ่อน ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากแบตเตอรี่รถยนต์ที่เริ่มเสื่อมนั่นเอง

3. ระบบไฟฟ้าเริ่มผิดปกติ

ถ้าระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์เริ่มทำงานผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟส่องสว่างทั้งในรถและนอกรถ, ระบบวิทยุ, เครื่องเสียง, กระจกไฟฟ้า ฯลฯ หากมีอาการทำงานช้าลง กระพริบ ติดๆ ขัดๆ รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ก็ให้สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมได้

4. สีตาแมวเปลี่ยนไป

อีกวิธีที่สามารถสังเกตได้ว่า ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์เมื่อไหร่ คือสังเกตสีของตาแมวแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้วัดโวลท์ โดยสามารถวัดได้แค่กระแสไฟ แต่ไม่สามารถวัดแรงสตาร์ทของแบตเตอรี่รถยนต์ได้ โดยตาแมวนี้จะติดมากับแบตเตอรี่รถยนต์หลายๆ ประเภท แบตเตอรี่รถยนต์แต่ละยี่ห้อก็จะมีสีของตาแมวที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม เจ้าของรถสามารถสังเกตสีของตาแมวตามข้อมูลบนสติ๊กเกอร์ที่ติดมากับแบตเตอรี่รถยนต์นั้นๆ ได้ว่า ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์เมื่อไหร่

5. ความผิดปกติบนตัวแบตเตอรี่

ถ้าเป็นแบตเตอรี่รุ่นที่ไม่มีตาแมว เจ้าของรถก็สามารถสังเกตจากสัญญาณเตือนของรถหรือลักษณะของก้อนแบตเตอรี่รถยนต์ที่เปลี่ยนไป เช่น ตัวกรอบแบตเตอรี่มีรูปร่างบิดเบี้ยวเปลี่ยนไปจากเดิม, แผ่นธาตุภายในเกิดอาการบวม, มีของเหลวรั่วไหลออกจากตัวแบตเตอรี่, มีสัญลักษณ์รูปเครื่องยนต์ หรือ Check Engine เตือนขึ้นที่หน้าปัด ฯลฯ ซึ่งนับว่า เป็นอาการค่อนข้างฉุกเฉิน ควรได้รับการเปลี่ยนแบตเตอรี่อย่างเร่งด่วนนั่นเอง

6. ไดชาร์จผลิตกระแสไฟไม่เพียงพอ

จากข้อ 5 ถ้าเจ้าของรถเพิ่งเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ได้เพียง 2-6 เดือน แต่แบตเตอรี่เกิดอาการบวมผิดปกติ สันนิษฐานได้ว่า สาเหตุของการบวมเกิดจากการไดชาร์จที่ผลิตกระแสไฟป้อนระบบรถยนต์ไม่เพียงพอและเหลือกำลังกระแสไฟน้อยกว่า 13.6 โวลต์ที่จะต้องไหลกลับไปชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ เมื่อไฟที่ไดชาร์จส่งไปที่ตัวแบตเตอรี่ต่ำเกินไป จะทำให้เกิดขี้เกลือขึ้นในแบตเตอรี่หรือที่เราเรียกกันว่า คราบซัลเฟต เกาะที่แผ่นธาตุข้างในของแบตเตอรี่จนทำให้ตัวแบตเตอรี่บวมและจะเป็นฉนวนกันไฟไม่ให้เดินสะดวกด้วย

7. ไม่ได้ เปลี่ยนแบตรถยนต์ มานานแล้ว

หากมีการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ครั้งสุดท้ายมานานประมาณ 1 ปีครึ่งถึง 2 ปีแล้ว อาจต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ก้อนใหม่ เนื่องจากอายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์กำลังใกล้หมด ยิ่งถ้าหากมีการใช้รถยนต์ในแต่ละวันตามปกติ แต่ไม่ได้เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่นานเกิน 3 ปีแล้วล่ะก็ เจ้าของรถควรรีบทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ เนื่องจากแบตเตอรี่ที่ถูกใช้งานมานานเกินไปส่วนมากอาจจะคุณภาพไม่ดี และส่งผลถึงปัญหาด้านความปลอดภัยด้วยเช่นกัน

นึกถึง รถมือสอง ต้อง CARSOME

ซื้อรถยนต์มือสอง

เปลี่ยนแบตรถยนต์ ให้ถูกต้อง ควรเลือกอย่างไร

การเลือก เปลี่ยนแบตรถยนต์ ที่ดีที่สุดคือ การเลือกแบตเตอรี่ที่เหมาะสมกับรถยนต์ โดยไม่เกี่ยวกับปัจจัยด้านราคาหรือคุณสมบัติที่ดีที่สุด เพราะรถยนต์แต่ละคันถูกออกแบบให้ใช้งานคู่กับแบตเตอรี่ที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกใช้แบตเตอรี่รถยนต์จึงแตกต่างกันตามประเภทของการใช้งานรถยนต์ โดยหลักๆ ที่ต้องพิจารณาคือ เป็นร้านแบตเตอรี่ที่ดูน่าเชื่อถือ รวมถึงราคาแบตเตอรี่ที่สมเหตุสมผลเทียบกับปัจจัยด้านคุณภาพโดยหลักการเลือกซื้อแบตเตอรี่เพื่อให้ได้แบตเตอรี่รถยนต์ที่คุ้มค่า คุ้มกับราคาแบตเตอรี่ก็มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

1. เลือกแบตเตอรี่ที่กำลังไฟสูงกว่าค่ามาตรฐาน

แบตเตอรี่ที่มีกำลังไฟ (แอมป์ / Amp) สูงกว่าค่ามาตรฐานของรถยนต์จะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้มากขึ้น ทำให้เจ้าของรถไม่จำเป็นต้องเสียเวลา เปลี่ยนแบตรถยนต์ บ่อย โดยราคาแบตเตอรี่อาจจะสูงกว่าเล็กน้อย แต่ได้ความคุ้มค่าที่มากกว่านั่นเอง

2. เทียบราคาแบตเตอรี่รถยนต์ก่อนตัดสินใจซื้อ

ควรศึกแบตเตอรี่รถยนต์ในแต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่น โดยเทียบกำลังไฟ (แอมป์ / Amp) กับราคาเพื่อใช้ในการพิจารณาความคุ้มค่าของแบตเตอรี่รถยนต์ในแต่ละยี่ห้อที่แตกต่างกัน

3. รับบริการจากร้านแบตเตอรี่ที่น่าเชื่อถือ

เลือกซื้อจากร้านแบตเตอรี่ที่ได้มาตรฐาน ดูน่าเชื่อถือ รวมทั้งพิจารณาร้านแบตเตอรี่มีบริการหลังการขายและมีสาขาใกล้บ้านเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการรับบริการ

จะเห็นได้ว่า อาการที่ส่งสัญญาณว่า ถึงเวลาควร เปลี่ยนแบตรถยนต์ นั้นมีหลากหลายจุด เพียงแค่เจ้าของรถต้องหมั่นสังเกตก็จะสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้อย่างทันเวลา ทำให้ไม่เกิดปัญหาต่อระบบเครื่องยนต์ในส่วนอื่นๆ ตามมาจากปัญหา แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม อย่างแน่นอน ที่สำคัญ เจ้าของรถหมั่นตรวจเช็คตัวแบตเตอรี่โดยไม่ต้องกำหนดว่า แบตเตอรี่รถยนต์ใช้งานได้กี่ปี เพราะอาจจะสายจนเกินไป รวมถึงหมั่นนำรถออกไปใช้งาน หรือถ้าจำเป็นต้องจอดทิ้งไว้ก็หมั่นสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อยืด อายุแบตเตอรี่รถยนต์ ให้ใช้งานได้นานขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

หากคุณกำลังสนใจจะ ซื้อรถมือสอง หรือ ขายรถคันเดิม แล้วล่ะก็… ที่ CARSOME เสนอราคาให้คุณคุ้มค่าที่สุด! เรามีการดำเนินการที่มีมาตรฐาน โปร่งใส รวดเร็ว ให้คุณซื้อหรือขายรถได้อย่างสบายใจ คลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย!

CTA CARSOME ซื้อขายรถยนต์มือสอง

อ่านบทความต่อ: แบตเตอรี่รถยนต์ยี่ห้อไหนดี วิธีดูแบตเตอรี่รถยนต์ หรือ ชาร์จแบตในรถ แบตเสื่อม จริงหรือไม่