รู้หรือไม่!? ปัญหาโช้คอัพรถยนต์อันตรายกว่าที่คุณคิด

รู้หรือไม่!? ปัญหาโช้คอัพรถยนต์อันตรายกว่าที่คุณคิด

โช้คอัพรถยนต์ เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่มีผลต่อการขับขี่เป็นอย่างมาก เพราะโช้คอัพจะช่วยให้การขับรถเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย เและยังเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยรองรับแรงกระแทกของตัวถังรถ ลดแรงสั่นสะเทือนของรถ ทั้งยังช่วยหน่วงน้ำหนักในการเคลื่อนที่ขึ้น-ลงให้กับรถยนต์ทั้งคันอีกด้วย ซึ่งหากโช้คอัพของรถยนต์เสีย จะทำให้การขับขี่ไม่นุ่มนวล รู้สึกแข็งกระด้างเวลาขับรถผ่านหลุม เนิน หรือลูกระนาด อีกทั้งยังทำให้รถยนต์เสียศูนย์เมื่อใช้ความเร็ว และมีอาการโคลงเคลงเวลาเลี้ยวโค้ง และยังทำให้ควบคุมรถได้ยากด้วย ในวันนี้ทาง Carsome จะพาทุกคนไปทำความรู้จักเรื่องโช้คอัพกันให้มากขึ้น รวมไปถึงปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดได้หากโช้คอัพมีปัญหา ซึ่งจะมีอะไรบ้างไปดูกันดีกว่าค่ะ

โช้คอัพรถคืออะไร?

โช้คอัพรถคืออะไร?

โช๊คอัพ (Shock Absorber) เป็นอุปกรณ์ไฮดรอลิคสำคัญที่ช่วยในเรื่องของการรองรับแรงกระแทก ลดแรงสั่นสะเทือนของรถ ทำให้เวลาขับรถบนหนทางที่ไม่ราบเรียบจะทำให้ขับรถได้นุ่มนวลขึ้น ดูดซับแรงกระแทกได้ดี ซึ่งการมีโช๊คอัพก็จะช่วยให้การขับรถสะดวกปลอดภัยมากขึ้นและยังช่วยทำหน้าที่หน่วงการเคลื่อนที่ขึ้นลงของตัวถังรถยนต์ เพื่อให้ล้อรถสัมผัสกับผิวถนนตลอดเวลาขณะรถวิ่ง โดยการควบคุมการยุบและการสั่นของสปริง หรือแหนบและเปลี่ยนการสั่นสะเทือนจากพลังงานกลให้เป็นพลังงานความร้อน ซึ่งการดูแลโช้คอัพเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ หากอยากให้การขับรถราบรื่นไม่มีปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ใช้งานรถยนต์บ่อย ๆ ค่ะ

ประเภทของโช้คอัพรถยนต์

ประเภทของโช้คอัพรถยนต์

โช๊คอัพรถยนต์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้

1. โช๊คอัพระบบน้ำมัน

โช๊คอัพระบบน้ำมัน คือโช๊คอัพที่ทำงานด้วยระบบไฮดรอลิคโดยในขณะที่โช๊คอัพกำลังทำงานอยู่นั้น น้ำมันไฮดรอลิคจะไหลผ่านวาล์วภายในลูกสูบ ทำให้เกิดฟองอากาศภายในและเมื่อใดก็ตามที่ฟองอากาศดังกล่าวแตกก็จะทำให้เกิดการทำงานของโช๊คอัพที่ผิดปกติ ส่งผลให้รถยนต์เสียการทรงตัวในจังหวะที่ใช้ความเร็วสูงได้

2. โช๊คอัพระบบแก๊ส

โช๊คอัพระบบแก๊ส ถือเป็นโช๊คอัพที่ได้รับความนิยมมาก โดยเป็นการทำงานร่วมกันของแก๊สไนโตรเจนและน้ำมันไฮดรอลิค ซึ่งเมื่อโช๊คอัพทำงาน ลูกสูบจะมีการเลื่อนตัวลงไปยังด้านล่างของกระบอกสูบและไหลขึ้นผ่านวาวล์ไปยังห้องน้ำมันด้านบน ในขณะที่มันอีกส่วนหนึ่งก็จะไหลลงด้านล่างเพื่อไปพักตัวอยู่ในห้องน้ำมันสำรองซึ่งหลังจากนั้นเองแก๊สไนโตรเจนก็จะเกิดการอัดตัวทำให้มีแรงดันในการอัดน้ำมันไฮดรอลิคกลับไปยังกระบอกลูกสูบ โดยสามารถแบ่งประเภทของโช๊คอัพระบบแก๊สออกได้เป็นอีก 2 ชนิด ดังนี้

  • โช๊คอัพแก๊สแรงดันต่ำ สามารถอัดแรงดันไว้ได้ประมาณ 10-15 กก./ตร.ซม
  • โช๊คอัพแก๊สแรงดันสูง สามารถอัดแรงดันไว้ได้ประมาณ 20-30 กก./ตร.ซม. โดยโช๊คอัพประเภทนี้จะไม่มีห้องน้ำมันสำรองเอาไว้ทำให้ต้องเก็บน้ำมันไฮดรอลิคเอาไว้ในกระบอกสูบด้านบนและเปลี่ยนมาอัดแก๊สไนโตรเจนที่บริเวณด้านล่างของกระบอกสูบ

ถ้าโช้คอัพพังจะเกิดอะไรขึ้น?

โช้คอัพนั้นเป็นชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ที่หลาย ๆ คนทราบกันดีว่าช่วยให้การขับรถยนต์นั้นราบรื่น นุ่มนวล ไม่มีการกระเด้งขึ้น – ลง ตามแรงเหวี่ยงของถนน ซึ่งถ้าหากโช้คอัพพังนั้นก็อาจจะทำให้รถยนต์นั้นควบคุมได้ยากมากขึ้น ทำให้การขับรถยนต์มีปัญหา และเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ หากรถยนต์เสียการควบคุมเนื่องจากโช้คอัพมีปัญหา โดยเฉพาะเวลาที่ต้องขับรถเข้าโค้ง รถยนต์จะไม่สามารถทรงตัวได้ดี อีกทั้งยังรวมไปถึงปัญหาน้ำมันรั่วที่ต้องพบเจอบ่อย ๆ เมื่อโช้คอัพมีปัญหาด้วยค่ะ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว ทางที่ดีควรเลือกใช้โช้คอัพที่มีคุณภาพและควรเปลี่ยนโช้คอัพทุก ๆ 3 ปี หรือสามารถเช็กได้จากระยะทาง โดยเริ่มตั้งแต่ 50,000 – 100,000 กม.ก็สามารถเริ่มพิจารณาถึงการเปลี่ยนโช้คอัพใหม่ได้ หรือสามารถเช็กสภาพการใช้งานของโช้คอัพได้ตั้งแต่ระยะทาง 20,000 กม. ขึ้นไปค่ะ 

สัญญาณว่าโช้คอัพเริ่มมีปัญหา

สำหรับคนที่กังวลเรื่องโช้คอัพพังสามารถเช็กได้ตามอาหารดังนี้ค่ะ

  1. ลองกดรถยนต์ด้านหน้าแล้วปล่อย ถ้ารถยนต์มีอาการเด้งขึ้นลงหลายๆครั้งแสดงว่าโช้คอัพเสื่อมสภาพแล้ว โช้คอัพที่ดีเมื่อออกแรงกดจะยุบตัว และคืนตัวเป็นระดับปกติทันทีโดยไม่มีการเด้งขึ้น ลงหลายครั้ง
  2. สังเกตรอยรั่วของน้ำมัน โดยตรวจเช็คบริเวณซีลโช้คอัพ ถ้ามีคราบน้ำมันเปรอะเปื้อนบริเวณแกนโช้คอัพ แสดงว่ามีการรั่วซึมเกิดขึ้น
  3. ตัวโช้คอัพเกิดรอยบุบ มีการบิดเบี้ยวของกระบอกโช้ค หรือแกนโช้คมีอาการคดงอ
  4. บริเวณหน้ายางของรถยนต์สึกไม่สม่ำเสมอเป็นบั้ง ทั้งที่ตั้งศูนย์ล้อถูกต้องแล้ว
  5. หลังจากใช้งาน เมื่อจอดรถให้ใช้มือสอดเข้าไปสัมผัสกับกระบอกโช้คอัพทันที ถ้ากระบอกโช้คอัพมีความร้อน แสดงว่าโช้คอัพยังสามารถใช้งานได้อยู่ แต่ถ้าสัมผัสแล้วกระบอกโช้คอัพมีอุณหภูมิปกติ แสดงว่าโช้คอัพไม่มีการทำงาน
  6. ขณะเริ่มออกตัวโดยใช้ความเร็วปกติ ถ้าหน้ารถเชิดขึ้น และขณะเบรกที่ความเร็วต่ำหน้ารถทิ่มลง แสดงว่าโช้คอัพเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว
  7. มีอาการกระเด้งกระดอนขึ้นลง เมื่อรถวิ่งผ่านเนินเล็กๆ หรือคอสะพาน ขณะขับขี่นั้นมีความรู้สึกว่ารถยนต์สั่นไม่นิ่มนวล
  8. เมื่อรถวิ่งความเร็วสูง (80กม./ชม.) เมื่อถูกลมปะทะด้านข้าง รถจะเสียการทรงตัวไปจากทิศเดิมมากผิด

สาเหตุที่ทำให้โช้คอัพพัง

สำหรับสาเหตุที่ทำให้โช้คอัพพังนั้นมีสาเหตุหลายประการ ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ส่วนใหญ่นั้นมีต้นเหตุจากสิ่งเหล่านี้

  1. การกระแทกอย่างรุนแรง เนื่องจากเมื่อโช้คอัพมีการแตกหรือรั่วซึม โช้คอัพจะไม่สามารถหน่วงการยืดหรือยุบตัวของสปริงได้เมื่อล้อบดทับบน ก้อนกรวดหรือตกหลุมสปริงจะมีการยุบ-ยืดตัว อย่างเต็มที่จนสุดระยะยุบ เป็นผลให้เกิดการกระแทกของชิ้นส่วน
  2. ควบคุมรถยาก เพราะโช้คอัพไม่สามารถควบคุมสปริงได้ ทำให้ช่วงล่างรถยนต์เต้นจนลอยจากพื้นถนน ถ้าเกิดในขณะที่ขับรถเข้าโค้ง แม้ว่าโช้คอัพจะเสียเพียงข้างเดียว ผลที่เกิดขึ้นก็จะทำให้สมดุลการทรงตัวของรถทั้งคันเสียไป เป็นเหตุให้การใช้รถไม่ปลอดภัย
  3. ยางสึกผิดปกติ เป็นอาการหนึ่งที่บ่งบอกได้ว่าเกิดการผิดปกติที่โช้คอัพได้เช่นกัน โดยการสึกจากโช้คอัพชำรุดยางจะมีลักษณะเป็นหลุม ๆ สึกเป็นช่วงๆ
  4. สปริงทรุด การขืนใช้โช้คอัพที่ชำรุดจะทำให้ช่วงล่างทั้งระบบเกิดการสึกหรอตามกันไป โดยเฉพาะสปริง เนื่องจากโช้คอัพไม่สามารถควบคุม ป้องกันการเคลื่อนที่ที่ผิดปกติของสปริงได้

วิธีดูแลรักษาโช้คอัพ

วิธีดูแลรักษาโช้คอัพ

การดูแลรักษาโช้คอัพเป็นวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้โช้คอัพของเรามีอายุการใช้งานที่นานขึ้นแถมยังช่วยถนอมโช้คอัพไม่ให้ชำรุดง่ายอีกด้วย ซึ่งมีวิธีดูแลรักษาโช้คอัพง่าย ๆ ดังนี้

  1. ไม่ควรบรรทุกของที่หนักจนรถของเราจะรับไหวหรือหนักจนเกินไป เช่น สัมภาระต่างๆไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า บางคนคิดว่าเก็บไว้ในรถจะทำให้สะดวกสบาย แต่ของเหล่านี้อาจจะทำให้รถของเราหนักเกินความจำเป็น นอกจากโช๊คอัพจะมีประสิทธิภาพที่ลดน้อยลงแล้วยังทำให้เราเปลืองน้ำมันในการขับรถอีกด้วย เพราะบรรทุกของหนักเกินไปนั่นเอง
  2. ในการขับรถกันเราไม่ควรใช้ความเร็วเกินกว่ากำหนด เพราะจะส่งผลให้ช่วงล่างของรถยนต์ของเรานั้นเสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็ว บางคนเจอลูกระนาด เจอหลุม เหยียบคันเร่งผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ผ่อนความเร็วรถ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดมากๆ ดังนั้นเวลาเจอลูกระนาดเจอหลุมต่างๆเราควรชะลอรถแล้วผ่านไปอย่างนุ่มนวลที่สุดจะช่วยรักษาโช๊คอัพของเราได้ดียิ่งขึ้น
  3. หากการเดินทางไปสถานที่ใกล้ๆเราควรเช็คช่วงล่างและยางลมของเราให้ดี ซึ่งการเช็คนั้นก็เช็คได้ง่ายๆ คือเราลองขับถนนเลียบทางตรงจากนั้นก็สังเกตดูว่าพวงมาลัยของเรานั้นตรงหรือไม่ถ้าหากลงแสดงว่ายังดีอยู่แต่ถ้าหากไม่ตรงก็ต้องไปตั้งศูนย์ใหม่ และถ้าหากขับไปแล้วได้ยินเสียงกุกกักต้องรีบไปแก้ไข และในเรื่องของโช๊คอัพ ถ้าจะต้องตรวจคราบน้ำมันที่บริเวณโช๊คของเราว่ามีการรั่วหรือไม่ เพราะระบบเหล่านี้มีผลต่อรถยนต์ของเราอย่างแน่นอน

 

และทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่เพียงวิธีแนะนำเบื้องต้นในการดูแลรักษาโช้คอัพเท่านั้น การหมั่นตรวจเช็กเครื่องยนต์บ่อย ๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยถนอมดูแลรถยนต์ให้มีอายุการใช้ที่ยาวนานขึ้น ที่สำคัญถ้าโช้คอัพดี การขับรถยนต์ก็ง่ายและปลอดภัยต่อคนขับเองด้วยค่ะ