ประเภทรถยนต์ Segment Car คืออะไร แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร?

Segment รถ

สำหรับรถยนต์ที่เราพบเห็นทั่วไปในท้องถนนนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่รถเก๋ง รถกระบะ หรือรถตู้เท่านั้น เพราะยังมีการแบ่งประเภทตาม Segment รถยนต์ อีกด้วย ซึ่งการทำความรู้จักรถยนต์แต่ละ Segment ยังสามารถช่วยให้เราเลือกรถยนต์ได้เหมาะสมกับการใช้งานมากขึ้น ในวันนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์อย่าง CARSOME ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการแบ่ง Segment รถยนต์มาให้ทุกคนได้อ่านกันแบบจัดเต็ม โดยจะมีอะไรบ้าง เราลองมาดูไปพร้อม ๆ กันได้เลย

ซื้อรถยนต์มือสอง กับ CARSOME การันตีคุณภาพรถยนต์ ผ่านการตรวจเช็กอย่างละเอียดถึง 175 จุด พร้อมรับประกันนานสูงสุด 2 ปีเต็ม ราคาโปร่งใส คุ้มค่า ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง ซื้อไปแล้วไม่พอใจ การันตีคืนเงินภายใน 30 วัน

นึกถึง รถยนต์มือสอง ต้อง CARSOME

สารบัญ

Segment รถยนต์

Segment Car คืออะไร

Segment รถ

Segment Car คือ การแบ่งประเภทของรถยนต์ตามขนาด ซึ่งมักจะใช้กับรถยนต์นั่งหรือรถเก๋งโดยการจำแนกตาม Segment นั้นเกิดขึ้นในยุโรปและถูกนำมาใช้เป็นมาตรฐานอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน โดยการแบ่งประเภทของรถยนต์นั้นจะใช้แทนความหมายด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ และมีการไล่เรียงลำดับจากรถขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ เช่น Segment A แทนรถขนาดเล็ก และ Segment B รถยนต์จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมา นอกจากเรื่องของขนาดแล้ว อาจจะมีการแบ่งตามลักษณะของการใช้งาน ขนาดของเครื่องยนต์ และราคาด้วยเช่นกัน

 

รถแต่ละ Segment แตกต่างกันยังไง?

การแบ่งแยกประเภทของรถนอกจากขนาดของรถยนต์แล้ว ก็ยังมีเรื่องของฟังก์ชันการใช้งาน อุปกรณ์ภายใน เทคโนโลยีการขับขี่ และขนาดของเครื่องยนต์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งลักษณะต่าง ๆ ของรถยนต์จะเป็นตัวจำแนกว่าแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร โดยสามารถแบ่งออกเป็นแต่ละ Segment ได้ดังนี้

รถ A segment

A-Segment

จัดอยู่ในประเภทรถยนต์ที่มีขนาดเล็ก เน้นคล่องแคล่ว ทั้งด้านของการขับขี่และการขับเข้าซอยแคบ ๆ ขับเข้าลานจอดรถ อีกทั้งยังสามารถหาที่จอดได้คล่องตัวที่สุด และยังเป็นรถยนต์ที่เหมาะกับการใช้งานในเมืองและแถบชานเมือง

ข้อดี – ข้อเสีย : ในส่วนของข้อดีนั้น รถประเภทนี้จะให้ความคล่องตัวได้ดีกว่ารถคันใหญ่ ไม่เปลืองเชื้อเพลิง มีอัตราเร่งที่ดี อีกทั้งยังมีค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพงด้วย ส่วนข้อเสียนั้นด้วยความที่เป็นรถขนาดเล็กอาจทำให้จุสัมภาระได้ไม่มาก ห้องโดยสารมีขนาดเล็ก และยังไม่สามารถขับลุย ๆ ได้ 

เหมาะกับใคร : เหมาะกับคนที่เพิ่มเริ่มหัดขับรถใหม่ หรือต้องการรถขนาดเล็กที่ให้ความคล่องตัว และขับรถในเมืองเป็นประจำ

ตัวอย่าง : Nissan March, Mitsubishi Mirage, Suzuki Celerio, ORA Good Cat,Chery EQ1

ช่วงราคา : เริ่มต้นตั้งแต่ 300,000 ต้น ๆ ไปจนถึง 1 ล้านต้น ๆ 

 

รถ B Segment

B Segment

สำหรับในกลุ่มนี้จะมีขนาดตัวถังและเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า Segment A ถือเป็นหมวดหมู่ของรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีขนาดที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป สมรรถนะกำลังของเครื่องยนต์อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะกับทุกการเดินทาง และที่สำคัญมีราคาที่จับต้องได้ ซึ่งยังแบ่งแยกย่อยออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

รถยนต์ Eco Car  ถือว่าจัดอยู่ในรถยนต์ประเภท B Segment โดยส่วนใหญ่รถยนต์ประเภทนี้จะมีขนาดเครื่องยนต์ประมาณ 1,200 cc.

รถยนต์ปกติ ที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 cc. ที่นับว่ามีขนาดเครื่องยนต์ใหญ่กว่ารถประเภท Eco Car  แต่ก็ถือว่าเป็นรถประเภท B- Segment ด้วย ไม่ใช่เพียงขนาดเครื่องยนต์ที่เพิ่มมา แต่จะมีออปชันเสริมให้เลือกเพิ่มขึ้นอีกไปต่างๆกัน

ข้อดี – ข้อเสีย : ข้อดีของรถประเภทนี้ คือ จะช่วยประหยัดน้ำมันและยังเป็นอีโคคาร์ในบางรุ่นด้วย ส่วนฟังก์ชันการใช้งานก็เหมาะกับเป็นรถอนกประสงค์ จุสัมภาระได้เยอะ ส่วนข้อเสียคือ เครื่องอาจจะอืดเล็กน้อยเมื่อทำการเร่งเครื่อง

เหมาะกับใคร : เหมาะสำหรับผู้ที่มีครอบครัวเล็ก ๆ หรือคนที่ต้องการรถที่จุของได้เยอะ

ตัวอย่าง : Honda City, Toyota Vios, Mazda 2, MG 3, Honda HR-V, Nissan Almera, Suzuki Swift, Toyota Yaris, Honda City Hatchback, Audi A1 Sportback, Audi Q2, Honda Brio, Honda Mobilio, MG ZS-EV

ช่วงราคา: เริ่มต้นที่ 420,000 บาท – 2 ล้านต้น ๆ 

 

รถ C segment

C-Segment

ในส่วนของรถยนต์กลุ่มนี้จะมีขนาดของตัวถังที่ใหญ่กว่ารถยนต์ในกลุ่ม Segment B รวมไปถึงพละกำลังของเครื่องยนต์ที่จะสูงกว่า 1,500 ซี.ซี. ไปจนถึง 2,200 ซี.ซี. มีการออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานที่หนักมากขึ้น ทั้งการโดยสารหรือการขนสิ่งของต่าง ๆ มากกว่ารถยนต์ประเภท A, B – Segment โดยส่วนใหญ่แล้วรถประเภทนี้จะมีความยาวของรถประมาณ 4.4 -4.75 เมตร

ข้อดี – ข้อเสีย : รถประเภทนี้เหมาะสำหรับการใช้งานหลากหลายสไตล์ ขับได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง ช่วงล่างเกาะถนนได้ดี ขนาดของตัวรถและความกว้างของห้องโดยสารกำลังพอดี ส่วนข้อเสียนั้นราคาค่อนข้างสูง ซึ่งในบางรุ่นอาจสามารถข้ามไปซื้อรถ PPV หรือกระบะได้เลย

เหมาะกับใคร : เหมาะสำหรับเป็นรถครอบครัว หรือต้องการรถที่ดีไซน์สวย ขับได้สนุก ไม่มีปัญหาเรื่องช่วงล่าง ขับได้คล่องตัวทั้งในเมืองและนอกเมือง

ตัวอย่าง : Honda Civic, Toyota Altis, Mazda 3, Honda BR-V, MG 5, MG ZS

ช่วงราคา: เริ่มต้นที่ 830,900 – 1,198,000 บาท

 

รถ D Segment

D-Segment

ถือว่าเป็นรถยนต์ที่มีที่นั่งขนาดใหญ่และยังมาพร้อมกับความหรู ความสะดวกสบาย และมีเทคโนโลยีหรือฟังก์ชันอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มาให้ รวมไปถึงในเรื่องของสมรรถนะที่ดีกว่ารถยนต์ในกลุ่ม Segment C ส่วนใหญ่จะมีขนาดของเครื่องยนต์มากกว่า 2,500 ซี.ซี. ขึ้นไป อีกทั้งยังมีการใช้วัสดุที่ดีกว่าเพื่อรองรับการใช้งานของเทคโนโลยีหรือฟังก์ชันต่างๆ 

ข้อดี – ข้อเสีย : ข้อดีของรถประเภทนี้คือ มักใช้เทคโนโลยีใหม่ดีไซน์ล้ำสมัย รวมทั้งใช้วัสดุที่คัดสรรมาในระดับพรีเมี่ยม และยังอัดออปชั่นไว้เพียบ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและอรรถประโยชน์ในห้องโดยสารเพื่อให้ผู้ขับและผู้โดยสารไม่อึดอัด ส่วนข้อเสียนั้นการซ่อมบำรุงอาจจะแพงและไม่เหมาะกับการขับลุย ๆ เท่าไหร่นัก

เหมาะกับใคร : เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบความพรีเมียมหรูหรา และเทคโลโนโลยี ฟังก์ชันที่สะดวกสบายต่อการขับขี่ อีกทั้งผู้ที่นิยมการขับขี่ที่เหนือชั้นบวกกับการตกแต่งภายในที่หรูหรา

ตัวอย่าง : Honda Accord, Toyota Camry, BMW Series 3, Nissan Teana, Ford Fusion, Mazda 6, Mazda CX-8, BMW 3-SERIES, AUDI A4, MERCEDES-BENZ C-CLASS 

ช่วงราคา : เริ่มต้นที่ 1,270,000 บาท ไปจนถึง 2,069,000 บาท

 

รถ E Segment

E-Segment

E Segment เป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกา เพราะเป็นรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ที่สุด หรือในต่างประเทศ E Segment จะเป็นที่รู้จักอีกชื่อหนึ่งว่า “Full Size Car” แต่ด้วยความที่รถยนต์ประเภทนี้มีขนาดใหญ่ รวมทั้งส่วนประกอบต่างถูกจัดไว้ชั้นดีเลิศ ทำให้รถยนต์ประเภทนี้มีราคาค่อนข้างสูง ที่สำคัญรถประเภทนี้ยังมีสมรรถนะและกำลังเครื่องยนต์ที่แรงขึ้น แต่ก็มักจะมีราคาตัวรถที่สูงด้วยเช่นกัน

ข้อดี – ข้อเสีย : ในส่วนของข้อดีนั้นรถประเภทนี้มักจะมีขนาดใหญ่ภายในถูกออกแบบมาเพื่อรองรับผู้บริหารอย่างแท้จริง ทั้งเบาะตอนหลังที่โอ่อ่า บางคันมาพร้อมระบบนวด และ ระบบสาระบันเทิงมากมาย ตกแต่งภายในอย่างเหนือระดับด้วยวัสดุพรีเมี่ยม ส่วนข้อเสียคือ ค่าบำรุงรักษาที่แพงลิบลิ่ว บวกกับต้องหมั่นดูแลเป็นประจำ

เหมาะกับใคร : ถือว่าเป็นรถซีดานสำหรับผู้บริหาร มีขนาดใหญ่ภายในถูกออกแบบมาเพื่อรองรับผู้บริหารอย่างแท้จริง

ตัวอย่าง : BMW 5-Series, BMW Series 7, Audi A6, Mercedes-Benz E-Class,Volvo S90

ช่วงราคา: เริ่มต้นที่ 3,190,000 – 6,139,000 บาท

 

Entry-level luxury / Compact Executive Car

Compact Executive Car

สำหรับรถประเภทนี้เป็นรถยนต์ที่เน้นความหรูหราทั้งในเรื่องของการตกแต่งและวัสดุที่นำมาใช้ อีกทั้งขนาดเครื่องยนต์ที่ใช้จะเป็นเครื่องสมรรถนะสูงเพิ่มความดุดันและการขับขี่ที่มั่นใจในหลายๆ สภาวะ โดยรถยนต์มีขนาดเท่ากับ Compact Car

ข้อดี – ข้อเสีย : ดีไซน์หรูหรา ปราดเปรียว ทั้งภายในและภายนอก ระบบขับเคลื่อนดีเยี่ยม พร้อมกับสมรรถนะการขับขี่สูง แต่ข้อจำกัดคือ ราคาตัวรถและอะไหล่ค่อนข้างสูง ด้านหลังค่อนข้างมีพื้นที่จำกัด และอาจใช้งานยุ่งยาก

เหมาะกับใคร : เหมาะสำหรับคนที่มองหารถขนาดเล็กคล่องตัว รูปทรงอินเทรนด์ แต่ต้องการแบรนด์หรูมีระดับ และที่ต้องการรถแบรนด์หรู

ตัวอย่าง : Mercedes-Benz C-Class, Lexus IS, Audi A4 และ BMW Series3

ช่วงราคา: เริ่มต้นที่ 2,590,000 – 3,890,000 บาท

นึกถึง รถยนต์มือสอง ต้อง CARSOME

Mid-Size Luxury Car

Mid-Size Luxury Car

รถยนต์นั่งหรูหราระดับกลาง ตัวรถที่มีขนาดใหญ่กว่ารถยนต์ขนาดกลางทั่วไป เพิ่มเติมที่คุณภาพด้านต่างๆ ของตัวรถสูงกว่ารถยนต์ขนาดใหญ่ มีการตกแต่งที่หรูหรา พร้อมทั้งสมรรถนะที่สูงกว่ารถยนต์ขนาดกลางและรถยนต์ขนาดใหญ่กว่ารถทั่วไป

ข้อดี – ข้อเสีย : ภายในห้องโดยสารสามารถนั่งได้สะดวกสบาย ไม่อึดอัด ให้ความหรูหราทั้งภายในและภายนอก สมรรถนะการขับขี่ดี ออปชันครบครัน รวมไปถึงเทคโนโลยีการขับขี่ที่ทันสมัย สำหรับการดูแลรักษาอาจจะจุกจิกและยุ่งยากเป็นพิเศษ รวมไปถึงค่าบำรุงรักษาที่แพงลิบลิ่วอีกด้วย

เหมาะกับใคร : เหมาะสำหรับนักธุรกิจ ผู้บริหาร ขับขี่ได้ทั้งในเมืองและนอกเมืองระยะทางไกล

ตัวอย่าง : Mercedes-Benz E-Class, Lexus G8, Audi A6, BMW Series 5 ,Volvo S80, Toyota Crown, Nissan Pressident

ช่วงราคา: เริ่มต้นที่ 3,190,000 – 10,200,000 บาท

Full-Size Luxury Car

Full-Size Luxury Car

สำหรับ Full-Size Luxury Car เป็นรถยนต์ขนาดใหญ่หรูหรา ถือว่าเป็นรถยนต์หรูหราที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องยนต์ขนาด 3,000 cc. ถึง 4,500 cc. มีเครื่องยนต์แบบ 6-12สูบ 

ข้อดี – ข้อเสีย : เป็นรถยนต์ขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับความหรูหรา มีการใช้เทคโนโลยีระดับสูง ให้ความสะดวกสบายระดับ First class  แต่อาจจะมีข้อเสียบ้างในเรื่องของค่าบำรุงรักษาที่ค่อนข้างสูงและราคาสูง

เหมาะกับใคร : เหมาะสำหรับนักธุรกิจ ผู้บริหารที่ต้องการรถยนต์ที่ให้ความหรูระดับ First Class และสะดวกสบาย

ตัวอย่าง : Mercedes-Benz S-Class, Lexus LS, Audi A8, BMW Series 7, Jaguar XJ, Maserati Quttroporte

ช่วงราคา: ราคาเริ่มต้นที่ 6,139,000 – 14,500,000 บาท

 

Sports Car

Sport Car

เป็นรถยนต์ 2 ที่นั่งสะส่วนใหญ่ ตัวถังรถยนต์นั้นจะมาในแบบคูเป้แต่บางรุ่นก็จะมาเป็นตัวถังแบบซีดาน ก็นับเเป็น Sport Car แต่จะมีการลดน้ำหนักของตัวถังให้เบากว่ารถปกติทั่วไป เพื่อที่จะทำให้รถนั้นมีสมรรถนะให้ออกมาได้มากที่สุด

ข้อดี – ข้อเสีย : มีสมรรถนะเครื่องยนต์สูง ดีไซน์สวย โดดเด่น ขับได้แรง ขับขี่ได้ง่าย คล่องตัว เวลาขับขี่บนท้องถนน และส่วนใหญ่รถสปอร์ตนั้นค่อนข้างเป็นรถที่กินน้ำมันมาก ที่สำคัญต้องหมั่นรักษารถทั้งภายในและภายนอกเป็นประจำ

เหมาะกับใคร : เหมาะสำหรับคนที่ชอบความแรงและเร็วของรถยนต์ บวกกับดีไซน์รถยนต์สวยหรู มีระดับ 

ตัวอย่าง : Toyota 86 , Chevrolet Corvette , Mitsubishi Lancer Evolution, Subaru WRX STi, Subaru BR-Z, Ford Mustang

ช่วงราคา: ราคาเริ่มต้นที่ 2,699,000 -4,509,000 บาท

 

Grand Tourer

Grand Tourer

เป็นรถสปอร์ตที่มีความหรูหรา ขึ้นมามากกว่า รถยนต์ประเภท Sports Car ขึ้นมาอีกระดับ และจะมีสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นมาอีกระดับ

ข้อดี – ข้อเสีย : เป็นรถความเร็วสูงที่เหมาะกับการเดินทางระยะไกล รถ GT ที่ยอดเยี่ยมจึงต้องมีทั้งความสะดวกสบาย ความเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงในการขับขี่ข้ามทวีปเลยก็ว่าได้ แต่ข้อเสียของรถประเภทนี้คือ มีค่าบำรุงรักษาที่ค่อนข้างแพง 

เหมาะกับใคร : เหมาะสำหรับคนที่รักความเร็วและความแรงของเครื่องยนต์

ตัวอย่าง : Nissan GT-R, Porsche 911, Aston Martin DB9

ช่วงราคา: ราคาเริ่มต้นที่ 9,900,000 – 23,400,000 บาท

 

Super Car

Super Car

เป็นรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 6 สูบขึ้นไป เน้นในเรื่องของสมรรถนะและเชื่อได้เลยว่ารถประเภทนี้เป็นรถยนต์ในฝันของใครหลายๆ คน หรือที่หลาย ๆ คุ้นเคยอย่างรถ Lamborghini และ Ferrari นั่นเอง

ข้อดี – ข้อเสีย : ดีไซน์มีความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากรถยนต์ประเภทอื่น ๆ มีระบบความปลอดภัยและฟังก์ชันการใช้งานมากมาย แต่ที่สำคัญคือ รถประเภทนี้จะค่อนข้างเตี้ย นั่งได้ไม่สบาย ช่วงล่างมีความแข็งฝืดมาก และมีค่าบำรุงรักษาที่สูง

เหมาะกับใคร : เหมาะกับคนที่ชอบดีไซน์ล้ำสมัย และชอบรถที่วิ่งได้บนท้องถนนอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่าง : Lamborghini Huracan, Lamborghini Aventador, Ferrari 458 italia, Ferrari F12 หรือ McLaren MP4-12C

ช่วงราคา : ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 10 ล้านบาท – 50 ล้านบาท

 

Hypercar

Hyper Car

เน้นไปที่เรื่องการทำความเร็วสูงสุด ซึ่งรถประเภทนี้จะต้องทำความเร็วได้ถึง 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยจุดเด่นที่พละกำลังแรงม้าและมีสมรรถนะที่สูงมากทั้งคัน ระดับแรงม้าของรถที่เกิน 700-800 แรงม้าและมีบางรุ่นที่มีแรงม้าสูงถึง 1,000 แรงม้าหรือมากกว่าอีกด้วย

ข้อดี – ข้อเสีย : เป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะเหนือชั้นกว่ารถประเภทอื่น ๆ และเป็นรถที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในสนามแข่งโดยเฉพาะ ไม่ค่อยเหมาะกับการขับขี่ในชีวิตประจำวันมากเท่าไหร่นัก

เหมาะกับใคร : เหมาะกับคนที่ต้องการรถยนต์สมรรถนะสูงและเครื่องยนต์เต็มกำลังเป็นพิเศษ 

ตัวอย่าง : Bugatti Veyron, Pagani Huayra, Ferrari LaFerrari, McLaren P1

ช่วงราคา : เริ่มต้นที่ 31,623,300 – 88,545,240 บาท

 

รถกระบะ (Pick up)

กระบะ

รถกระบะ รถยอดนิยมของคนไทย เป็นรถที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการบรรทุกหรือขนสิ่งของต่าง ๆ โดยจะมีพื้นที่กระบะด้านท้ายไว้รองรับสัมภาระ มีตัวถังให้เลือกทั้งแบบสูง เตี้ย 2 ประตู และ 4 ประตู

ข้อดี – ข้อเสีย : รถกระบะเป็นรถที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย รวมไปถึงมีสมรรถนะการขับขี่ที่แข็งแรง สามารถลุยได้ทุกสภาพถนน อีกทั้งยังเป็นรถที่ประหยัดน้ำมันด้วย แต่ข้อเสียของรถกระบะคือ ภายในห้องโดยสารอาจจะนั่งได้ไม่สะดวกสบายเท่าไหร่นักซึ่งในบางรุ่นที่กระบะตอนท้ายยาวอาจทำให้ห้องโดยสารเล็ก ไม่สามารถนั่งได้หลายคน

เหมาะกับใคร : เหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้รถในการบรรทุกสัมภาระ หรือครอบครัวที่มีสมาชิกเยอะ รวมไปถึงคนที่ทำอาชีพขนส่งสินค้า

ตัวอย่าง : Toyota Hilux Revo, Isuzu D-Max, Mitsubishi Triton, Nissan Navara, Ford Ranger, Mazda BT-50, MG Extender

ช่วงราคา: ราคาเริ่มต้น 519,000 – 1,146,000 บาท

 

รถ SUV

SUV

รถยอดฮิตในปัจจุบัน ซึ่งเป็นรถที่มีคุณสมบัติอเนกประสงค์ครอบคลุมทุกการใช้งาน เช่น การโดยสาร ขนของ หรือเดินทางไกล ด้วยรูปร่างของตัวรถที่มีขนาดใหญ่ กว้าง สูง มีสมรรถนะและกำลังเครื่องยนต์ที่แรงกว่ารถยนต์ทั่วไป

ข้อดี – ข้อเสีย : ห้องโดยสารมีพื้นที่กว้างขวางและตัวรถยกสูงกว่ารถยนต์ทั่วไปทำให้นั่งสบาย วิสัยทัศน์ในการขับขี่ดี และยังสามารถขับขี่ไปในพื้นที่ลุยๆ ได้ เช่นพื้นที่ขุรขะ นอกจากนี้ยังมีช่วงล่างที่นุ่มนวล ส่วนการบำรุงรักษาอาจจะมีค่าซ่อมแซมของอะไหล่ที่แพง อีกทั้งยังเปลืองน้ำมันอีกด้วย

เหมาะกับใคร: เหมาะกับผู้ขับขี่ที่ต้องการรถขนาดใหญ่ในการบรรทุกสิ่งของสำหรับเดินทางไกลบ่อยครั้ง บรรจุคนได้จำนวนมาก หรือเป็นขาลุย ชอบขับขี่เชิงผจญภัยที่ต้องการกำลังของเครื่องยนต์มาก ๆ

ตัวอย่าง : Honda CR-V, Toyota C-HR, MG HS, Mazda CX-5 Nissan X-Trail, Subaru Forester, Isuzu MU-X

ช่วงราคา: ราคาเริ่มต้นที่ 689,000 – 1,579,000 บาท

 

รถ B-Suv หรือ Crossover Utility Vehicle (CUV)

B-SUV

SUV B-Segment เป็นกลุ่มย่อยที่แตกจากกลุ่ม B-Segment  โดยมีการนำพื้นฐานของรถเก๋งมายกให้สูงให้เหมาะกับการขับทางไกล พร้อมพัฒนาให้การขับขี่นุ่มกว่ารถในกลุ่ม SUV แน่นอนว่าการทำให้สมรรถนะะการขับนุ่ม การขับลุยป่าหรือบนถนนขรุขระจะด้อยลง และความอเนกประสงค์ด้านพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังก็น้อยลงเช่นกัน บางค่ายรถยนต์จึงเพิ่มจุดเด่นด้วยสมรรถะเครื่องยนต์ เช่น ระบบ Hybrid หรือ EV 

ข้อดี – ข้อเสีย : ให้ความคล่องตัว สะดวกสบาย ใช้งานได้หลากหลายฟังก์ชัน มีเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดน้ำมัน แต่อาจจะมีข้อด้อยในส่วนของการขับขี่ และพื้นที่ที่ด้อยกว่ารถ SUV ไปบ้าง

เหมาะกับใคร : เหมาะสำหรับรถครอบครัวในเมือง ใช้งานทั่วไป เน้นความสะดวกสบาย

ตัวอย่าง  : Toyota COLORA CROSS, Honda HR-V, MG ZS, Mazda CX-3, Subaru XV

ช่วงราคา: ราคาเริ่มต้นที่ 769,000 – 1,389,000 บาท

 

รถ MPV

MPV

รถเอนกประสงค์รุ่นนี้จุดเด่น คือ มีที่นั่งผู้โดยสาร 7 คน แบบนั่งได้จริงและสะดวกสบาย แถวท้ายสุดจะกว้างกว่ารถ SUV บางรุ่นที่สามารถปรับให้เป็น 7 ที่นั่งได้ แต่รถกลุ่มนี้จะไม่ถูกยกสูง และดีไซน์ไม่โฉบเฉี่ยวนัก รูปทรงคล้ายรถตู้ แต่ไม่กว้างเท่า

ข้อดี – ข้อเสีย : สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้จำนวนมาก (6-11 ที่นั่ง แล้วแต่รุ่น) มีการออกแบบบห้องโดยสารที่กว้างขวาง และมีหลังคาสูงโปร่งให้ความรู้สึกไม่อึดอัด นิยมทำบานประตูแบบสไลด์ให้ใช้งาน สามารถขึ้น-ลง รถได้ง่าย วางระบบช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวลในการขับขี่ มีการทรงตัวที่ดี

เหมาะกับใคร : เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกหลายคน

ตัวอย่าง  : Mitsubishi Xpander, Honda BR-V, Suzuki Ertiga, Honda Mobilio 

ช่วงราคา: ราคาเริ่มต้นที่ 659,000 – 980,000 บาท  

รถ PPV

PPV

รถในกลุ่มนี้กับกลุ่ม SUV อาจทำให้หลายคนสับสน เพราะคล้ายกันมาก แต่ที่แตกต่างอย่างชัดเจน คือ PPV จะสร้างจากพื้นฐานของรถกระบะ จึงมีความสมบุกสมบันพร้อมลุย มากกว่า SUV แต่ในยุโรปและอเมริกาไม่มีแยกย่อยกลุ่มนี้ จะเรียกรวมว่า SUV ส่วนสาเหตุที่ประเทศไทยแยกเป็น PPV เพราะพระราชกิจจานุเบกษาจากกระทรวงการคลังเมื่อปี 2547 กำหนดคุณลักษณะให้รถประเภทนี้ พร้อมตั้งชื่อว่า รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก หรือ PPV

ข้อดี – ข้อเสีย : สามารถขับลุยได้ทุกเส้นทาง ห้องโดยสารสามารถบรรจุผู้โดยสารและสำภาระต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก และยังสามารถขับไปลุยในที่สมบุกสมบันได้สบายๆ ส่วนข้อเสียของรถประเภทนี้คือมีราคาในตลาดที่สูงมาก

เหมาะกับใคร : เหมาะสำหรับเป็นรถครอบครัวที่มีจำนวนสมาชิกมากกว่า 7 คนขึ้นไป

ตัวอย่าง : Toyota Fortuner, Isuzu Mu-X, Mitsubishi Pajero Sport, Ford Everest

ช่วงราคา : ราคาเริ่มต้นที่ 1,154,000 – 1,854,000 บาท

หากคุณกำลังสนใจจะ ซื้อรถมือสอง หรือ ขายรถ แล้วล่ะก็… ที่ CARSOME เสนอราคาให้คุณคุ้มที่สุด! เรามีขั้นตอนการชำระเงินที่รวดเร็ว และไม่มีขั้นตอนยุ่งยากใด ๆ คลิกที่เว็บไซต์เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย!

CTA CARSOME ซื้อขายรถยนต์มือสอง

อ่านบทความต่อ: รถ ECO Car 2023 รุ่นไหนดี ประหยัดน้ำมันที่สุด หรือ ใบขับขี่หาย ไม่ต้องแจ้งความ จองผ่านแอปแค่ 7 ขั้นตอน