เช็คด่วน! สัญญาณเตือนเมื่อผ้าเบรกหมดหรือมีปัญหา

เช็คด่วน! สัญญาณเตือนเมื่อผ้าเบรกหมดหรือมีปัญหา

ผ้าเบรกเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของรถยนต์ ใช้ในการช่วยชะลอหรือหยุดความเร็วของรถยนต์  และช่วยทำให้ระบบความปลอดภัยของรถยนต์ทำงานได้เป็นปกติ  ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับผ้าเบรกให้มากขึ้น พร้อมกับวิธีการสังเกตลักษณะของผ้าเบรกเมื่อเริ่มเสื่อมสภาพ เพื่อจะได้ตรวจเช็กเมื่อผ้าเบรกเริ่มเสื่อมสภาพได้ด้วยตนเอง หากผ้าเบรกในรถยนต์ของคุณเริ่มส่งสัญญาณก็ต้องรีบเปลี่ยนทันที ไปดูกันดีกว่าค่ะว่ามีอาการอย่างไรบ้าง

สัญญาณเตือนเมื่อผ้าเบรกมีปัญหา

ส่วนประกอบต่าง ๆ และการทำงานของระบบเบรกรถยนต์

ผ้าเบรกเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของระบบเบรกรถยนต์ โดยในปัจจุบันระบบเบรกที่ใช้งานกันมากที่สุดนั้นมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่

ดิสก์เบรก คือ ระบบเบรกที่อยู่ในรถยนต์ มีหน้าที่ในการชะลอความเร็วลงและหยุดรถได้อย่างปลอดภัย  ซึ่งดิสก์เบรกจะประกอบด้วย จานเบรก, คาลิปเปอร์เบรก และผ้าเบรก หลักการทำงานทุกครั้งจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาที่เรากดแป้นเบรกน้ำมันไฮดรอลิกในคาลิปเปอร์จะดันผ้าเบรกแต่ละแผ่นเข้าไปที่จานเบรก ทำให้เกิดแรงเสียดทานขึ้น

ดรัมเบรก คือ ระบบเบรกที่นิยมใช้ในรถยนต์ในรถยนต์ช่วงเริ่มแรก อย่างเช่น รถบรรทุก ส่วนประกอบของดรัมเบรกจะประกอบไปด้วย ผ้าเบรกทรงโค้ง, ก้ามปูเบรก หรือ ฝักเบรก, สปริง และลูกสูบที่ต่อเข้ากับสายเบรก โดยหลักการทำงานนั้นจะเกอดขึ้นทุกครั้งเมื่อเราแตะเบรก ผ้าเบรกด้านในจะถูกแม่ปั๊มดันติดกับด้านในของฝาครอบเบรก ซึ่งฝาครอบเบรกนี้จะยึดติดกับล้อรถยนต์ ทำให้เกิดแรงเฉื่อยช่วยชะลอความเร็ว และสามารถหยุดรถได้ในที่สุด

ควรเปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อไหร่ ?

ควรเปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อไหร่ ?

คราวนี้ก็มาถึงเวลาที่สังเกตผ้าเบรกในรถยนต์ของคุณแล้วว่า เมื่อไหร่ที่ถึงเวลาในการเปลี่ยนผ้าเบรก โดยสามารถสังเกตได้จากอาการง่าย ๆ ต่อไปนี้ 

เหยียบเบรกลึกกว่าปกติ

เมื่อคุณรู้สึกว่าจะต้องเหยียบเบรกลึกกว่าปกติ หรือต้องเหยียบหลายครั้งถึงจะชะลอ ถ้าหากมีอาการนี้ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นาน เพราะไม่อย่างนั้นแล้วผ้าเบรกของคุณจะหมดสภาพและไม่สามรถเบรกได้อีกต่อไป

ดึงเบรกมือสูงกว่าปกติ

เมื่อคุณรู้สึกว่าต้องดึงเบรกมือสูงกว่าปกติ สัญญาณเตือนนี้หมายถึง ถึงเวลาต้องตรวจเช็คผ้าเบรกของรถยนต์แล้ว

ไฟสัญญาณเตือนที่หน้าปัดรถ

สำหรับวิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ซึ่งเมื่อมีไฟสัญญาณผ้าเบรกขึ้นเตือนแล้ว ควรรีบไปเปลี่ยนทันที เพราะถ้าปล่อยเอาไว้ อาจเป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุได้ 

เบรกแตก

อาการนี้คือ อาการที่อันตรายที่สุด เบรกแตกนั้นเกิดจากชิ้นส่วนของระบบเบรกหลวม ลูกยางแม่ปั๊มเบรก และตัวเบรกเกิดความเสียหายจนทำให้น้ำมันเบรกรั่วออกจากระบบจนหมด ซึ่งมีวิธีการตรวจสอบง่าย ๆ คือ การตรวจสอบระดับน้ำมันเบรก และชิ้นส่วนของระบบเบรกจากกระปุกน้ำมันเบรกหน้ากระโปรงรถนั่นเองค่ะ 

อาการและสัญญาณเตือนเมื่อผ้าเบรกเสื่อม

อาการและสัญญาณเตือนเมื่อผ้าเบรกเสื่อม

พวงมาลัยสั่นเมื่อเบรก

สัญญาณนี้เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าผ้าเบรกรถยนต์เริ่มบางลง เพราะจานเบรกและหน้ายางสัมผัสไม่สม่ำเสมอ ดังนั้นถ้ามีสัญญาณนี้ควรรีบไปเช็กและเปลี่ยนอย่างด่วนเลยค่ะ

เหยียบเบรกแล้วมีเสียงดัง

อาการนี้มักพบได้ตลอดเวลา โดยจะมีเสียงเสียดสีของเบรกคล้ายเสียงแหลมๆ ซึ่งเกิดจากเศษฝุ่น เศษหินเข้าไปติดขัดระหว่างจานเบรกกับแผ่นโลหะระบายความร้อน เป็นเหตุทำให้เกิดเสียงดังระหว่างเหยียบเบรกนั่นเอง 

เช็คน้ำมันเบรก

การตรวจสอบน้ำมันเบรกทำได้โดยตรวจเช็กที่กระปุกน้ำมันเบรกจากหน้ากระโปรงรถ และตรวจสอบสายเบรกว่าขาดรั่วหรือไม่ ซึ่งหากน้ำมันเบรกหมดหรือรั่ว จะทำให้ผ้าเบรกของรถยนต์ไม่ทำงานและทำให้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อาาการของรถที่เจอคือ มีอาการเบรกรถไม่อยู่ หรือ ต้องเหยียบเบรกหลาย ๆ ครั้ง

อายุการใช้งานผ้าเบรก

ผ้าเบรกรถยนต์จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 30,000 – 50,000 กม. ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน แต่ในบางกรณีอาจจะต้องเปลี่ยนก่อนกำหนดเพื่อความปลอดภัย หากผ้าเบรกมีอาการบวม หรือเบรกมีกลิ่นไหม้

ประเภทของผ้าเบรก

ประเภทของผ้าเบรก

ผ้าเบรกรถยนต์ในปัจจุบันที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดนั้นมีอยู่หลายประเภท ซึ่งผ้าเบรกแต่ละชนิดนั้นจะแตกต่างกันที่วัสดุในการผลิต โดยแต่ละแบบนั้นก็ส่งผลถึงอายุการใช้งานของผ้าเบรกด้วย ดังนั้นการเลือกผ้าเบรกให้เหมาะสมจึงควรเลือกตามสไตล์การขับขี่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานได้เต็มที่ ซึ่งผ้าเบรกนั้นแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

  1. ผ้าเบรกออร์แกนิก คือผ้าเบรกที่ผลิตด้วยเส้นใย มีใยแก้ว, ยาง และไฟเบอร์ เป็นส่วนประกอบหลัก จึงทำให้ผ้าเบรกชนิดนี้จะมีความนุ่ม เงียบ และไม่มีเสียงดังเวลาเหยียบเบรก โดยผ้าเบรกชนิดนี้เหมาะกับการขับขี่รถยนต์แบบใช้ความเร็วไม่มากและขับขี่ทั่วไปในเมือง ไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้ความเร็วเท่าไร และที่สำคัญแม้จะมีราคาที่ถูกแต่ผ้าเบรกออร์แกนิกนี้ก็จะหมดเร็วกว่าผ้าเบรกชนิดอื่นเช่นกัน
  2. ผ้าเบรกเมทัลลิก คือผ้าเบรกที่ทนทานมากที่สุด เพราะผลิตจากโลหะที่ทนต่ออุณหภูมิที่สูงหรือแตกต่างกัน มีอายุการใช้งานได้เป็นเวลานาน ทำให้ผ้าเบรกชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ผ้าเบรกเมทัลลิกนี้เมื่อใช้ไปสักระยะนึงก็จะมีเสียงดังรบกวนเช่นกัน และอาจทำให้จานเบรกสึกหรอก่อนเวลาอันควรได้
  3. ผ้าเบรกเซมิเมทัลลิก คือผ้าเบรกที่มีส่วนผสมของโลหะที่มากถึง 65% ถือเป็นผ้าเบรกที่ได้รับความนิยมและพบเห็นได้มากที่สุดในยุคปัจจุบัน ผ้าเบรกเซมิเมทัลลิกมีความทนทานสูงและมีระยะเวลาใช้งานที่ยาวนาน ผ้าเบรกชนิดนี้เหมาะกับผู้ที่ชอบการขับขี่รถด้วยความเร็วสูง และต้องการที่จะหยุดรถด้วยความรวดเร็วเช่นเดียวกัน
  4. ผ้าเบรกเซรามิก คือผ้าเบรกที่ได้ชื่อว่าทนทานมากที่สุดจากชนิดของผ้าเบรกที่กล่าวมาทั้งหมด ตัวผ้าเบรกทำจากวัสดุเซรามิกผสมเส้นใยทองแดง ข้อดีของผ้าเบรกชนิดนี้นอกจากความทนทานที่สูงกว่าผ้าเบรกชนิดอื่นแล้วยังให้ความเงียบ ไม่มีฝุ่นดำ แต่ข้อเสียคือราคาค่อนข้างสูง และตัวเนื้อผ้าเบรกนั้นไม่ดูดซับความร้อนอาจทำให้จานเบรกเกิดความร้อนสูงได้

ปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของผ้าเบรก

ปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของผ้าเบรก

นอกจากเราควรสังเกตอาการต่าง ๆ ของผ้าเบรกและการเลือกผ้าเบรกให้ถูกประเภทการใช้งานแล้ว การใช้งานต่าง ๆ จากปัจจัยอื่น ๆ ก็ย่อมส่งผลต่ออายุการใช้งานของผ้าเบรกด้วย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยถนอมการใช้งานผ้าเบรกให้มีอายุนานขึ้น

  1. ทำความสะอาดจานเบรกอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ทำการล้างรถ เพราะทุกครั้งที่ใช้รถจานเบรกก็จะต้องเจอกับเศษฝุ่นเศษดิน ยิ่งปล่อยให้เกาะอยู่บนจานเบรกนานๆ ฝุ่นก็จะแข็งตัว ทำให้กินผ้าเบรกมากขึ้นเวลาเบรก
  2. เช็คสภาพของผ้าเบรกทุกๆ 3 เดือน หากคุณใช้งานรถยนต์ไปได้ราวๆ 3 เดือน หรือ 10,000 กิโลเมตร ควรนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อให้ช่างได้เช็กความเรียบร้อยเกี่ยวกับการทำงานในส่วนต่างๆ ของรถยนต์
  3. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุกๆ 1 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร
  4. เช็คลมยางให้เหมาะสม ลมยางถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ใช้รถควรดูแล เพราะลมยางจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเบรกต่างๆ โดยไม่ควรเติมจนตึงมากหรือแบนมากจนเกินไป ไม่อย่างนั้นผ้าเบรกอาจจะต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเลย
  5. ไม่ควรลงเบรกรุนแรง เนื่องจากจะส่งผลโดยตรงต่อผ้าเบรกและจานเบรก ทำให้เกิดรอยไม่พึงประสงค์และยังส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง อีกทั้งผ้าเบรกยังสึกเร็วกว่าปกติอีกด้วย
  6. ล้างทำความสะอาดอุปกรณ์เล็ก ๆ เช่น ลูกยางกันฝุ่น, ลูกยางแม่ปั๊มเบรค, ลูกยางลูกสูบเบรค ควรถอดมาล้างทำความสะอาดหรือเช็คดูความผิดปกติ เพราะถ้าอุปกรณ์เหล่านี้มีการชำรุด ก็อาจส่งผลให้ระบบเบรกมีปัญหาเช่นกัน

 

การดูแลรักษาบำรุงรถยนต์เป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยทำให้เครื่องยนต์ได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความรู้เกี่ยวกับเรื่องเบรกที่เราได้นำมาเสนอในวันนี้ก็สามารถช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความเสียหายของเบรกและทำให้การขับขี่ของคุณปลอดภัย มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยนะคะ

อ่านบทความต่อ:

หากคุณกำลังสนใจจะ ซื้อรถ หรือ ขายรถ แล้วล่ะก็… ที่ Carsome เสนอราคาให้คุณได้ดีที่สุด! เรามีขั้นตอนการชำระเงินที่รวดเร็ว และไม่มีขั้นตอนยุ่งยากใด ๆ คลิกที่เว็บไซต์เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย!