
รถจอดนาน รถไม่ค่อยได้ขับ อาจพบกับปัญหาหลายๆ อย่างได้รวมถึงปัญหา รถจอดนานสตาร์ทไม่ติด รวมถึงปัญหาแบตเตอรี่เครื่องยนต์หมด หรือว่ามีความเสียหายที่ท่อรถ และอื่นๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่รถจอดทิ้งไว้และสภาพแวดล้อมรอบๆ ยิ่งช่วงโควิดที่แทบไม่ได้ออกไปไหนเลย ต้องกักตัวอยู่กับบ้าน หลายๆ คนคงจะไม่ค่อยได้ใช้รถยนต์ส่วนตัวกันเท่าไหร่ ดังนั้น ถ้าเกิดปัญหาดังกล่าวควรทำอย่างไร และถ้าจำเป็นต้อง จอดรถทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ ขึ้นไป วิธีการดูแล รถจอดนาน ควรทําอย่างไร แล้วเราควร ควรสตาร์ทรถทุกกี่วัน วันนี้ CARSOME ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์จะมาให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้รถนาน ทุกคนจะได้ดูแลรถได้อย่างถูกต้องกัน!
ซื้อรถยนต์มือสอง กับ CARSOME การันตีคุณภาพรถยนต์ ผ่านการตรวจเช็กอย่างละเอียดถึง 175 จุดพร้อมปรับสภาพให้ได้มาตรฐาน รับประกันสูงสุด 2 ปีเต็ม ราคาโปร่งใส คุ้มค่า ซื้อไปแล้วไม่พอใจ การันตีคืนเงินเต็มจำนวนภายใน 30 วัน
นึกถึง รถยนต์มือสอง ต้อง CARSOME
รถจอดนานสตาร์ทไม่ติด พร้อมวิธีแก้และป้องกัน |
---|
รถจอดนานสตาร์ทไม่ติด พร้อมสารพัดปัญหา
หลายคนอาจจะคิดว่า การ จอดรถทิ้งไว้ ทำให้ รถไม่ค่อยได้ขับ เป็นเรื่องที่ดี เพราะนอกจากจะประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ยังไม่ต้องขับรถไปเสี่ยงเจออุบัติเหตุ แถมรถก็ไม่เสื่อมสภาพท่ามกลางสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่หลายสำนักงานเริ่มอนุญาตให้ทำงานที่บ้านเพื่อความปลอดภัยทางสุขภาพ แต่แท้จริงแล้ว การ จอดรถทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ ขึ้นไปโดยที่รถไม่ได้รับการดูแล อาจจะทำให้รถยนต์ของคุณจะมีปัญหาตามมาได้ แถมค่าบำรุงรักษาจากความเสียหายก็อาจมีราคาสูงกว่าการใช้รถปกติในทุกๆ ด้วยซ้ำ ซึ่งปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นมีดังต่อไปนี้
- ยางรถยนต์อาจเสื่อมสภาพ เนื่องจากลมในล้อรั่วซึมออกมาตลอดเวลา
- ของเหลวภายในรถยนต์อาจเสื่อมสภาพ ทำให้อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องชำรุด
- แบตเตอรี่หมด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ รถจอดไว้นานสตาร์ทไม่ติด
- ริ้วรอยบนตัวรถ เกิดจากฝุ่นละออง ลม และฝนที่มาสัมผัสตัวรถ
- เครื่องยนต์เสียหายจากการกัดแทะของสัตว์ที่เข้าไปทำรัง หรือกัดกินระบบภายใน
รถจอดนานสตาร์ทไม่ติด ควรทําอย่างไร
1. จั๊มแบตเตอรี่รถยนต์

ขั้นตอนที่ง่ายที่สุดในการสตาร์ท รถจอดนานสตาร์ทไม่ติด ก็คือการจั๊มแบตรถ เนื่องจากหลังจากที่ปล่อยรถทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้งาน แบตเตอรี่รถยนต์อาจเสื่อมหรือสูญเสียประจุและพลังงานทั้งหมดไปได้ วิธีนี้จะเหมือนการเติมพลังให้กับรถยนต์ของคุณ และนี่ก็คือขั้นตอนการจั๊มแบตรถให้ปลอดภัย:
วิธีจั๊มแบตเตอรี่รถยนต์เวลาฉุกเฉิน
- เปลี่ยนหรือเติมของเหลวในรถยนต์ให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเกียร์ออโต้
- ใช้สายพ่วงข้างที่เป็นสีแดง (ขั้วบวก) เชื่อมต่อกับแบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้งานไม่ได้ จากนั้นก็นำสายพ่วงอีกข้างไปต่อกับแบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้งานได้
- ใช้สายพ่วงข้างที่เป็นสีดำ (ขั้วลบ) เชื่อมต่อกับแบตรถที่ใช้งานได้ ส่วนปลายอีกข้างให้หนีบกับชิ้นส่วนโลหะตรงเครื่องยนต์ของรถที่แบตเตอรี่เสีย หรือหนีบตรงพื้นผิวของรถที่มีสายดิน
- สตาร์ทรถคันที่ใช้งานได้ ปล่อยทิ้งไว้สักสองสามนาทีเพื่อให้แบตเตอรี่ของรถอีกคันได้ทำการชาร์จพลังงาน
- ลองสตาร์ทรถคันที่แบตเตอรี่หมด หากรถยังสตาร์ทไม่ติดให้ชาร์จต่ออีกสักสองสามนาทีแล้วลองใหม่อีกครั้ง
- เมื่อสตาร์ทรถติดแล้ว ให้ถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ออกโดยย้อนลำดับ ถอดสายสีดำ (ขั้วลบ) ออกจากชิ้นส่วนโลหะก่อน ตามด้วยการถอดอีกข้างของสีดำที่เชื่อมกับแบตเตอรี่รถที่ใช้งานได้ จากนั้นก็ถอดสายพ่วงสีแดงออกจากแบตเตอรี่ที่หมด และสุดท้ายก็ถอดสีแดงอีกข้างจากแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ปกติ
2. เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ รถจอดไว้นานสตาร์ทไม่ติด อาจเกิดจากแบตเตอรี่ที่หมดสภาพ ในกรณีนี้ การจั๊มแบตรถอาจไม่เพียงพอ คุณจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ให้กับรถยนต์ ซึ่งวิธีการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ก็สามารถทำได้ด้วยตนเองดังต่อไปนี้
การเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์
- ถอดแบตเตอรี่รถยนต์เก่าออก โดยการถอดสายขั้วลบออกจากขั้วลบ (ดูสัญลักษณ์ “-”) และถอดสายขั้วบวกออกจากขั้วบวก (สัญลักษณ์ “+”)
- ถ้าหากคุณใช้อุปกรณ์โลหะ ไม่ควรนำอุปกรณ์ไปสัมผัสกับขั้วแบตเตอรี่เพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟได้
- ถอดตัวยึดแบตเตอรี่ออก จากนั้นก็ยกแบตเตอรี่ออกไปวางไว้ในที่ที่ปลอดภัย
- ใช้แปรงลวดเส้นเล็ก น้ำ หรือเบกกิ้งโซดาทำความสะอาดที่หนีบก่อนจะใส่แบตเตอรี่ใหม่ลงไป
- พยายามขจัดฝุ่นหรือสิ่งสกปรกต่างๆ ออกจากที่หนีบ นอกจากนี้ อาจจะทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่เพื่อล้างฝุ่นและสิ่งสกปรกด้วย
- ใส่แบตเตอรี่ใหม่ลงไปและยึดแบตเตอรี่ให้แน่น
- เชื่อมต่อขั้วบวกและขั้วลบอีกครั้ง
- ทดสอบรถของคุณด้วยการสตาร์ทรถหรือเปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิก
3. เปลี่ยนน้ำมันรถ
น้ำมันรถก็เหมือนกับนม ตรงที่น้ำมันก็อาจจะเสียได้หากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป เนื่องจากน้ำมันมีส่วนผสมของเอทิลแอลกอฮอล์ที่ระเหยได้ง่าย ดังนั้นเมื่อรถจอดนาน ค่าออกเทนของน้ำมันก็จะลดต่ำลง ทำให้เกิดเชื้อราและแบคทีเรียต่างๆ ภายในน้ำมัน ส่งผลให้น้ำมันเสื่อมคุณภาพ และทำให้เครื่องยนต์จึงเกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น สตาร์ทไม่ติด เครื่องยนต์สึกกร่อน และหัวฉีดชำรุด ฯลฯ ดังนั้น คุณต้องอย่าลืมว่า คุณเติมน้ำมันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ถ้าน้ำมันมีอายุการใช้งานประมาณ 6 เดือน ก็ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันในถังทิ้งก่อนนำรถมาใช้อีกครั้งตามขั้นตอนดังนี้
วิธีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันในถัง
- นำปั๊มถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในฝาช่องเติมน้ำมันและสูบเอาน้ำมันปริมาณเล็กน้อยลงในภาชนะใส
- ปล่อยน้ำมันทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
- ถ้าเห็นน้ำมันแยกออกเป็นชั้นๆ หรือมีตะกอนแสดงว่าน้ำมันหมดสภาพแล้ว
- สูบน้ำมันออกให้ได้มากที่สุดและเติมน้ำมันใหม่เข้าไปแทน
4. เปลี่ยนมอเตอร์สตาร์ทรถยนต์
หากรถของคุณยังสตาร์ทไม่ติดหลังจากที่คุณลองสตาร์ทหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้ว คุณอาจจะต้องเปลี่ยนมอร์เตอร์สตาร์ทด้วย แต่ตำแหน่งของมอเตอร์นี้แตกต่างไปตามรุ่นของรถ ดังนั้นจึงต้องหาข้อมูลตำแหน่งมอร์เตอร์สตาร์ทในรถของคุณก่อน

- ถอดขั้วแบตเตอรี่และหามอเตอร์สตาร์ทเครื่องยนต์ สามารถหาได้จากคู่มือรถหรือทางอินเตอร์เน็ต
- ถอดชิ้นส่วนต่างๆ ที่บดบังมอเตอร์สตาร์ทอยู่ อย่าลืมถ่ายรูปชิ้นส่วนต่างๆ ก่อนถอดจะได้จำได้ว่าต้องใส่อะไรกลับเข้าไปบ้าง
- ปลดสิ่งที่เชื่อมต่อกับมอร์เตอร์สตาร์ททั้งหมดออก
- ถอดมอร์เตอร์สตาร์ทออกมาแล้วใส่อันใหม่ลงไป
- เชื่อมต่อมอเตอร์สตาร์ทอันใหม่และประกอบชิ้นส่วนต่างๆ กลับเข้าไป
- ต่อขั้วแบตเตอรี่เข้าไปใหม่และลองสตาร์ทรถ เครื่องยนต์อาจจะไม่ทำงานในทันที อาจจะต้องลองก่อนประมาณสองสามครั้ง
นึกถึง รถยนต์มือสอง ต้อง CARSOME
ควรสตาร์ทรถทุกกี่วัน ไม่ควรจอดรถนานเกินกี่วัน
สำหรับ รถไม่ได้สตาร์ทนาน หรือมีความจำเป็นต้อง จอดรถทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ ขึ้นไป คุณควรสตาร์ทรถ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง นานประมาณ 10 นาทีต่อครั้ง นอกจากนั้น ถ้ามีโอกาสก็ควรจะต้องนำรถออกไปขับบ้าง โดยอาจจะขับในระยะทางสั้นๆ เช่น ไปซื้อของหรือซื้ออาหารนอกบ้าน ฯลฯ ก่อนที่ลมยางจะอ่อนเกินไป ทำให้ขับรถไม่ได้ในเวลาที่ต้องใช้จริง อีกทั้งยังเป็นการเคลื่อนย้ายที่จอดรถชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่รถจอดแช่อยู่ที่เดิมเป็นเวลานานจนมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยเข้ามาอาศัยหรือทำรัง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์ได้
รถจอดนานสตาร์ทไม่ติด ป้องกันรถไม่ค่อยได้ขับอย่างไร
1. ป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม
อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า ปัญหาหนึ่งที่พบเจอบ่อยๆ คือ รถจอดไว้นานสตาร์ทไม่ติด เนื่องจากแบตเตอรี่เสื่อมเนื่องจากถึงแม้ว่ารถจะยังจอดอยู่และไม่มีการใช้งาน แต่แบตเตอรี่ก็ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยจ่ายไฟไปยังระบบต่างๆ ของรถยนต์ เช่น ระบบกันขโมย ระบบไฟ และเสียง ฯลฯ ดังนั้น เจ้าของรถจึงควรสตาร์ทรถทิ้งไว้เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ โดยจะต้อง สตาร์ทรถและปล่อยทิ้งไว้ 10 นาที ประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และควรหมั่นตรวจสอบว่าเครื่องกำเนิดไฟและอุปกรณ์อื่นๆ ทำงานได้เป็นปกติ ที่สำคัญ อย่าเปิดแอร์หรือวิทยุในรถระหว่างนี้เพื่อเป็นการชาร์จแบตให้เต็มที่ หรืออีกวิธีที่สามารถทำได้ก็คือ ถอดแบตเตอรี่รถยนต์แยกออกจากตัวรถก่อน แล้วค่อยนำกลับมาใส่ใหม่เมื่อต้องการจะใช้งานรถยนต์อีกครั้ง
2. หมั่นทำความสะอาดภายในรถยนต์
หมั่นล้างรถและทำความสะอาดนอกตัวรถเมื่อเห็นคราบสกปรกเกาะติดที่รถยนต์ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองมาเกาะตัวรถจนเป็นชั้นของฝุ่นที่หนาเตอะ ทำให้เกิดรอยต่าง ๆ บนผิวรถ ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานเกินไปอาจทำความสะอาดได้ยาก รวมทั้ง ควรคลุมผ้าคลุมรถให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันคราบฝังติดแน่นของมูลสัตว์ที่มาขับถ่ายไว้บนรถซึ่งจัดการได้ยาก
นอกจากนั้น ก่อนจะ จอดรถทิ้งไว้ ก็ทำความสะอาดส่วนต่างๆ ภายในรถยนต์ให้เรียบร้อย อย่าทิ้งขยะหรือเศษอาหารไว้ในรถเพราะอาจจะทำให้สัตว์หรือแมลงต่างๆ เช่น แมลงสาบและมดเข้ามาอาศัยกัดกินภายในห้องโดยสารหรือระบบเครื่องยนต์ นอกจากนี้ การทิ้งเศษขยะไว้อาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ และในสภาพอากาศที่ร้อนชื้นของประเทศไทยอาจทำให้เกิดราขึ้นได้ง่าย แต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการติดตั้งเครื่องลดความชื้นภายในรถยนต์
3. เพิ่มความดันลมยาง
การไม่ใช้รถเป็นเวลานานอาจทำให้ยางรถเสียรูปทรงได้ และเมื่อกลับมาขับอีกครั้งก็อาจทำให้พวงมาลัยสั่นได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นด้วยการเพิ่มลมยาง 3 PSI หากคุณคิดจะจอดรถทิ้งไว้นานๆ นอกจากนี้ คุณอาจจะขับรถไปข้างหน้าและข้างหลังทุกๆ สองสามวันเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดยางแบนที่จุดใดจุดหนึ่งได้อีกด้วย
4. ดูแลของเหลวภายในรถยนต์
ของเหลวต่างๆ ในระบบรถยนต์อาจเสื่อมสภาพได้ถ้ารถถูกจอดทิ้งไว้นานๆ ส่งผลให้ส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับของเหลวนั้นๆ ชำรุดทำงานได้ไม่เต็มที่และอาจมีอาการผิดปกติ รวมทั้งเกิดสนิม ดังนั้น ในระหว่างที่จอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน ควรหมั่นดูแลของเหลวในระบบ เช่น เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาแทนระยะทางที่ใช้รถ หรือในส่วนของหม้อน้ำก็ควรตรจสอบระดับน้ำหล่อเย็นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม อย่าปล่อยให้น้ำแห้ง เป็นต้น
เราหวังว่าคำแนะนำเกี่ยวกับ รถจอดนานสตาร์ทไม่ติด เหล่านี้จะสามารถช่วยคุณดูแลรถในช่วงล็อกดาวน์ได้อย่างถูกต้อง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสตาร์ทรถบ้างทุกๆ อาทิตย์ แต่หากคุณไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ก็สามารถทำตามคำแนะนำในการดูแลรถตามที่บอกมาได้
หากคุณกำลังสนใจจะ ซื้อรถมือสอง หรือ ขายรถคันเดิม แล้วล่ะก็… ที่ CARSOME เสนอราคาให้คุณคุ้มค่าที่สุด! เรามีการดำเนินการที่มีมาตรฐาน โปร่งใส รวดเร็ว ให้คุณซื้อหรือขายรถได้อย่างสบายใจ คลิกที่เว็บไซต์เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย!
อ่านบทความต่อ: ไขข้อข้องใจ! น้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ 91 95 E20 ต่างกันยังไง? หรือ รถใหม่ 2023 จัดเต็ม 10 รุ่นที่เตรียมตัวเข้าไทย