รถยนต์ EV vs ไฮบริด แตกต่างกันยังไง? แบบไหนเหมาะกับคุณ?

EV-VS-Hybird

รถยนต์ EV Vs Hybird นวัตกรรมยานยนต์ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้มีความล้ำสมัยมากขึ้นบวกกับกระแสเรื่องสิ่งแวดล้อม โลกร้อน รวมไปถึงความจำเป็นที่ต้องประหยัดเชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น ทำให้การผลิตรถยนต์ต้องตอบโจทย์กับยุคสมัยการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า EV และ รถยนต์ Hybrid เป็นที่น่าจับตามองมากยิ่งขึ้น ซึ่งรถยนต์ทั้งสองประเภทนี้กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นด้วยเช่น ใครที่กำลังลังเลว่าจะซื้อรถยนต์ประเภทไหนดี ในบทความนี้ก็ได้รวบรวมถึงข้อดี – ข้อเสียของรถยนต์ EV และรถยนต์ ไฮบริด ไปดูกันว่ารถประเภทไหนที่จะเหมาะกับคุณ

ซื้อรถมือสอง กับ CARSOME การันตีคุณภาพรถยนต์ ผ่านการตรวจเช็กอย่างละเอียดถึง 175 จุดพร้อมปรับสภาพให้ได้มาตรฐาน รับประกันสูงสุด 2 ปีเต็ม ราคาโปร่งใส คุ้มค่า ซื้อไปแล้วไม่พอใจ การันตีคืนเงินภายใน 30 วัน

นึกถึง รถมือสอง ต้อง CARSOME

ซื้อรถยนต์มือสอง
สารบัญ

ข้อแตกต่างของรถยนต์ EV VS รถยนต์ไฮบริด 

สำหรับในยุคที่พลังงานแบบนี้ การที่จะมีรถซักคันนั้นก็ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ อีกทั้งกระแสรักโลกกำลังมาแรงทำให้ผู้คนสนใจที่จะเลือกซื้อรถที่ลดการปล่อยมลพิษอีกด้วย ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับประเภทของรถยนต์ EV และ รถยนต์ Hybrid ก่อนดีกว่ามีข้อแตกต่างกันอย่างไร 

รถ Hybrid

รถยนต์ EV Vs รถยนต์ Hybrid

สำหรับรถประเภทนี้เป็นรถที่ใช้ทั้งพลังงานน้ำมันและพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน โดยหลักการ คือ รถยนต์ชนิดนี้จะมี Battaryไว้คอยกักเก็บพลังงานเอาไว้เพื่อดึงมาใช้ในสถานการ์ต่าง ๆ เช่น การออกตัว หรือการขับรถในรอบสูง เป็นต้น โดยจะทำให้ประหยัดพลงงานจากน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นนั่นเอง

รถ EV

รถยนต์ EV

รถ EV หรือเรียกอีกอย่างว่ารถยนต์ไฟฟ้า คือ รถที่นำพลังงานไฟฟ้ามาใช้เต็มระบบโดยไม่พึ่งน้ำมันเชื้อเพลิง โดยหลักการ คือ จะพลังงานไฟฟ้าไปปั่นมอเตอร์ส่งกำลังไปยังล้อและระบบต่างๆ อีกทั้งรถไฟฟ้ายังมีอัตราเร่งที่สูงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันอีกด้วย โดยรถประเภทนี้จะไม่มีการปล่อยมลพิษออกมมาเลยแม้แต่น้อย

รถยนต์ EV Vs รถยนต์ Hybrid

ข้อดีของรถ Hybrid

1. ไม่ต้องชาร์จไฟฟ้า

สำหรับรถยนต์ไฮบริดนั้นอาศัยการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ด้วยไฟฟ้าบางช่วงเวลา เช่น ในช่วงความเร็วต่ำ เพื่อออกตัวหรือช่วยในการเร่งแซง โดยทำงานร่วมกับเครื่องยนต์เป็นบางช่วง แม้ว่ารถยนต์ประเภทนี้ยังจะต้องใช้น้ำมัน แต่ข้อดีก็คือไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จไฟฟ้าเหมือนรถ  EV เพียงแต่อย่าลืมเติมน้ำมันก็พอ

2. ไม่ต้องปรับพฤติกรรมในการใช้รถ

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามีข้อเท็จจริงที่สำคัญหนึ่งข้อ คือ การปรับพฤติกรรมในการใช้รถบางประการ เนื่องจากจุดชาร์จยังไม่ครอบคลุมและระยะทางในการใช้งานเองก็ยังเป็นข้อจำกัดสำหรับการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้า ต่างจากรถยนต์ไฮบริดที่สามารถสลับใช้ได้ทั้งการใช้น้ำมันทั่วไปหรือสามารถใช้ไฟฟ้าในการขับรถระยะใกล้ ๆ อีกทั้งยังสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ เช่น แบตเตอรี่หมดแล้วต้องหาที่ชาร์จกลางทาง ซึ่งในประเทศไทยอาจจะมีสถานีชาร์จรถไฟฟ้าได้ไม่ครอบคลุมและปัจจุบันการเดินทางไกล ๆ ในรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ ดังนั้นการใช้รถยนต์แบบไฮบริดอาจตอบโจทย์มากกว่า

3. ราคาที่ถูกกว่า

รถไฮบริด ในปัจจุบัน มีราคาถูกย่อตัวลงมามาก ซึ่งรถไฮบริดที่ถูกที่สุด ในตลาดปัจจุบัน คือ  Honda City e:HEV ราคา 849,000 บาท หากเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาขาย เริ่มต้น 949,000 บาท ซึ่งมีมูลค่าต่างกันหนึ่งแสนบาท เพราะนั่นคือรถจากผู้ผลิตคนละประเทศ มีโครงสร้างภาษีนำเข้าแตกต่างกัน ซึ่งถ้าเทียบจากผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นด้วยกัน  Nissan  Leaf  ราคาขายมือหนึ่งจะอยู่ที่ 1.99 ล้านบาท ทำให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพงกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฮบริด

4. มีรถยนต์หลายรุ่นให้เลือกหลากหลาย

รถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายในไทยในปัจจุบันมีทั้งหมด 6 รุ่นด้วยกัน ได้แก่  Hyundai Kona, Kia Soul EV ,Hyundai  ioniq ,Nissan LEAF , MG ZS EV และ  MG EP ซึ่งในจำนวน 6 รุ่นนี้ เป็นรถที่มีศูนย์บริการครอบคลุม เพียง 3 รุ่น คือ MG และ Nissan เท่านั้น ต่างกับรถยนต์ไฮบริดที่มีให้เลือกหลากหลายกว่า ทั้งรถเก๋งขนาดเล็ก Honda  City e:hev , รถเก๋งคอมแพ็คคาร์ Toyota Corolla hybrid  ,รถเก๋งซีดานกลาง  Honda  Accord Hybrid  + Toyota Camry Hybrid ส่วนกลุ่มรถอเนกประสงค์ ก็ได้แก่  Nissan kicks , Toyota Corolla  Cross, Toyota C-HR ที่สำคัญยังมีหลายระดับราคาให้เลือกมากกว่ารถยนต์ EV ด้วย

5. สามารถขับรถได้ในระยะทางที่ไกลกว่า

รถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันมีระยะทางขับได้ไกลราวๆ 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จ ในขณะที่รถไฮบริด ถึงจะยังใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนเป็นหลักก็มีระยะทาง ต่อการเติมน้ำมัน 1 ครั้งก็ถือว่าดีกว่าในภาพรวม โดยสาเหตุนั้นมาจากการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้าช่วยในการขับขี่บางจังหวะ ลดการทำงานของเครื่องยนต์ในจังหวะที่ไม่จำเป็นต้องใช้ หรือให้น้อย แล้วนิ่งที่สุด เท่าที่จะทำได้

ซึ่งถ้ายกตัวอย่างเราเติมน้ำมันเต็มถังใน  Honda  City  เต็ม 40 ลิตร แล้วขับขี่ปกติทั่วไปตามข้อมูล Eco Sticker อ้างอิงจะมีอัตราประหยัด ที่ 3.6 ลิตร/ 100 ก.ม .โดยเฉลี่ย หรือ 27.8 ก.ม./ลิตร จะเห็นได้ว่าน้ำมัน 1 ถังนั้นสามารถขับได้มากกว่า 1,000 กิโลเมตร นอกจากจะขับได้ไกลกว่าแล้วก็ยังไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องชาร์จอีกด้วย

6. เครื่องยนต์ตอบสนองได้ดีกว่า

สำหรับเครื่องยนต์ของรถไฮบริด ไม่ว่าระบบไหนของค่ายใดก็ตามจะพบว่าหากเทียบกับเครื่องยนต์แบบเดิมแล้ว เครื่อวไฮบริดจะตอบสนองทันใจมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเวลาขับขี่ การออกตัว หรือการเร่งแซง  ด้วยเหตุเผยการตอบสนองของมอเตอร์ไฟฟ้าจะมาทันทีทันใด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รู้สึกถึงกำลังที่มากกว่าจากเครื่องยนต์ไฮบริด อย่างเช่นในบางแบบที่เน้นใช้มอเตอร์ไฟฟ้า การขับก็ยิ่งต้องใช้มอเตอร์ลูกใหญ่ ทำให้การตอบสนองดีตามไปด้วย

7. ทำลายแบตเตอร์รี่ง่ายกว่า

การใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้ามีปัญหาสำคัญ คือ เรื่องการทำลายแบตเตอร์รี่ เมื่อเกิดการเสื่อมสภาพจากการใช้งาน ซึ่งแบตเตอร์รี่ที่ขนาดใหญ่จะทำลายได้ยากและต้องสิ้นเปลืองพลังงานในการทำลายมากกว่าส่วนรถยนต์ไฮบริด (ที่ไม่ใช่เวอร์ชั่นเสียบปลั้ก) ส่วนใหญ่จะใช้แบตเตอร์รี่ลูกไม่ใหญ่นักประมาณ 1-2 กิโลวัตต์ ทำให้ไม่เสียพลังงานและปล่อยไอเสียในขั้นตอนการทำลายมากนัก

8. มอเตอร์พัง แบตเสื่อม ก็ยังใช้งานได้

ด้วยความที่ระบบไฮบริดเป็นการทำงานร่วมกันทั้งสองระบบ ในกรณีที่ระบบไฮบริด เช่น มอเตอร์ไฟฟ้าเสื่อม หรือ แบตเตอร์รี่เสื่อม รถยนต์ก็ยังสามารถขับเคลื่อนได้เป็นปกติไม่มีปัญหา แต่ถ้ารถยนต์ไฟฟ้า (รวมถึงรถยนต์ไฮบริดบางแบบที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน) เมื่อระบบเสื่อมอาจทำให้ไม่สามารถใช้งานได้เลย

ข้อเสียของรถไฮบริด

รถยนต์ EV Vs รถยนต์ Hybrid

นอกจากข้อดีของการใช้งานได้ทั้งสองระบบจากรถยนต์ไฮบริด ข้อเสียของรถยนต์ประเภทนี้ก็มีเช่นกัน ซึ่งปัญหาหลัก ๆ ของรถยนต์ไฮบริดที่พบเห็นได้ในปัุจจุบันนั้นได้แก่

1. อู่ซ่อมมีน้อย

สำหรับรถยนต์ไฮบริดนั้นยังถือว่าใหม่สำหรับบ้านเรา และยังเป็นเทคโนโลยีที่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาจึงทำให้มีราคาที่แพงกว่า ทำให้อู่ซ่อมที่ชำนาญตอนนี้ยังมีน้อย และเวลาที่รถยนต์มีปัญหาแต่ละครั้ง ต้องเอารถเข้าศูนย์หรือโชว์รูมของรถยี่ห้อนั้นเท่านั้น เพื่อให้ช่างที่มีความชำนาญในด้านรถยนต์ไฮบริดเป็นผู้ดูแลโดยเฉพาะ จึงทำให้อาจจะต้องรอคิวซ่อมอยู่บ้าง

2. แบตเตอรี่ราคาแพง และ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงค่อนข้างสูง

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่ารถยนต์ไฮบริดนั้นยังเป็นอะไรที่ใหม่ในเมืองไทยด้วยราคาที่ค่อนข้างแพง อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ยังมีราคาแพงอยู่ และอู่ซ่อมที่ชำนาญตอนนี้ยังมีน้อย ทำให้เวลาซ่อมแต่ละครั้งจะต้องเข้าศูนย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นจะต้องคิดให้รอบคอบว่าคุ้มกับการลงทุนหรือเปล่า

3. ค่าดูแลในระยะยาว 

โดยปกติแล้วรถไฮบริดจะมีอายุการใช้งาน 7-10 ปี หากใช้งานปกติ แต่ถ้าหากใช้งานหนักและขับระยะทางมาก อาจทำให้ต้องดูแลเช็กสภาพเครื่องบ่อย ๆ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากในแต่ละครั้ง แต่ในปัจจุบัน รถไฮบริดกำลังเป็นรถที่มีความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตระบบไฮบริดกับรถยนต์ไฟฟ้าจะมาเรื่อยๆ จนทำให้เครื่องยนต์แบบธรรมดาน่าจะหมดยุคไปในที่สุด ตอนนี้เป็นช่วงยุคเปลี่ยนถ่าย ซึ่งใครที่จะซื้อรถใหม่ มองระบบนี้เผื่อในอนาคตก็เป็นตัวเลือกที่ดี

4. ต้องเรียนรู้การขับขี่อย่างถูกต้อง 

สำหรับผู้ขับขี่รถประเภทนี้ควรเรียนรู้การทำงานของระบบไฮบริด ว่าแตกต่างจากรถปกติทั่วไปอย่างไร โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ขับขี่จะต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ เช่น การยกคันเร่ง , เลียเบรก และอื่นๆ อีกมาก เพื่อใช้งานระบบไฮบริดให้ได้เต็มประสิทธิภาพ นอกเหนือจากนี้ควรเรียนรู้ระบบอื่น ๆ ของเครื่องบนต์ไฮบริดเพื่อถนอมอายุในการใช้งานด้วย

นึกถึง รถมือสอง ต้อง CARSOME

ซื้อรถยนต์มือสอง

ข้อดีของรถยนต์ระบบ EV

รถยนต์ EV Vs รถยนต์ Hybrid

สำหรับรถยนต์ระบบไฟฟ้าหรือรถ EV ถือว่าเป็นประเภทรถยนต์ยอดนิยมที่กำลังมาแรงเนื่องจากกระแสของสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยของระบบรถไฟฟ้าก็เป็นที่น่าสนใจไม่น้อย ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งข้อดีต่าง ๆ ของรถระบบ EV นั้นมีดังนี้

1. ปล่อยมลภาวะน้อยกว่ารถที่ใช้น้ำมัน

เป็นที่ทราบกันดีว่ารถยนต์ไฟฟ้านั้นทำงานด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ทำให้ไม่มีการปล่อยไอเสียหรือก๊าซเรือนกระจกออกมาและไม่สร้างมลพิษเพิ่มในอากาศ จึงทำให้ข้อนี้ถือว่าจุดเด่นและข้อแตกต่างจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน ซึ่งการสันดาบภายในเครื่องยนต์ก่อให้เกิดมลพิษขึ้นได้

2.ประหยัดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง

เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่มีเครื่องยนต์ มีการใช้พลังงานขับเคลื่อนจากแบตเตตอรี่แทน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ ซึ่งพลังงานที่จะใช้ในการขับเคลื่อนก็คือ ไฟฟ้า โดยที่เราสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เองที่บ้านโดยไม่ต้องเติมน้ำมัน หมดกังวลเรื่องค่าน้ำมันผันผวน เพราะเนื่องจากในปัจจุบันน้ำมันมีราคาแพงขึ้นมาก และยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง

3. ช่วยลดมลภาวะทางเสียง

นอกจากรถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถช่วยลดมลพิษทางอากาศได้แล้ว ก็ยังสามารถช่วยลดมลพิษทางเสียงได้อีกทางด้วย เนื่องจากการทำงานขอมอเตอร์ไฟฟ้านั้น มีเสียงที่เงียบกว่าเครื่องยนต์ปกติมากกว่า ทำให้ห้องโดยสารเงียบ ไร้เสียงรบกวนด้วยเช่นกัน

4. ช่วยประหยัดค่าการบำรุงรักษาเครื่องยนต์กับเกียร์

เมื่อคุณได้เปลียนระบบขับเคลื่อนมาเป็นระบบไฟฟ้า การบำรุงรักษาเครื่องยนต์กับเกียร์ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่อย่างไรก็อาจจะต้องมีการดูแลระบบรถยนต์ไฟฟ้าชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามา เช่น มอเตอร์ inverter ระบบควบคุมไฟฟ้าหลัก สายไฟ และ แบตเตอรี่ ฯลฯ ดังนั้นค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์เหล่านี้อาจจะเพิ่มขึ้นได้ แต่ก็ถือว่าประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า เนื่องจากมีชิ้นส่วนของรถยนต์น้อยชิ้น ทำให้ช่วยลดขั้นตอนในการบำรุงรักษาได้ อีกทั้งยังไม่ต้องคอยเปลี่ยนน้ำเครื่องและน้ำมันเกียร์ด้วย

ข้อเสียของรถ EV

รถยนต์ EV Vs รถยนต์ Hybrid

1. ระยะทางวิ่งที่จำกัด

ความจุของตัวแบตเตอรี่ไฟฟ้านั้นสามารถพาให้รถวิ่งไปได้ในระยะทางจำกัดซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของแบตเตอรี่ที่ใช้ ดังนั้นหากต้องการวิ่งระยะไกล อาจจะต้องวางแผนเพิ่มเติมเพื่อหาจุดชาร์จ หากพลังงานไฟฟ้าหมดลงกลางทาง หาที่ชาร์จไม่ได้ ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้น 

2. ใช้เวลาชาร์จนานกว่า

รถยนต์ EV จะใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ค่อนข้างนานเมื่อเที่ยบกับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเติมน้ำมันหรือแก๊ซ

3. สถานีชาร์จรถไฟฟ้ายังไม่ครอบคลุม

ปัจจุบันจุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถEV ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงมากสักเท่าไหร่ และไม่ได้หาง่ายมากนัก ทำให้วางแผนการเรื่องการชาร์จไฟในการเดินทางระยะไกล โดยสถานีชาร์จรถไฟฟ้าในไทยปัจจุบันยังครอบคลุมอยู่ในเมืองเท่านั้น

4. การบำรุงรักษา

รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อที่บุคคลากรทางด้านยานยนต์จะเริ่มเรียนรู้เรื่องการบำรุงรักษาระบบต่าง ๆ รวมไปถึงการควบคุมค่าใช้จ่าย ๆ ต่าง ๆ ในการบำรุงรักษา

5. การจัดขยะพิษจากแบตเตอรรี่

ถึงแม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถช่วยในการลดมลภาวะทางอากาศได้ แต่อย่างไรก็ตามแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันมีอายุการใช้งานที่จำกัด การเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย แต่การกำจัดแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพไปแล้วนั้นแต่ละประเทศมีมาตรการไม่เหมือนกัน ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการกำจัดแบตเตอรี่ที่เป็นขยะพิษเหล่านี้ 

6. ราคารถยนต์ไฟฟ้าแพงกว่า 

รถยนต์ EV มีราคาสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากชิ้นส่วนโดยส่วนใหญ่มีราคาสูงกว่า โดยเฉพาะแบตเตอรี่ และปัจจัยด้านอื่น ๆ เช่น เทคโนโลยีที่ใช้ยังใหม่อยู่ จึงยังไม่ค่อยมีการผลิตในปริมาณที่สูงมากนัก อีกทั้งระบบบางอย่างยังไม่เสถียรจึงทำให้เทคโนโลยียังคงมีการพัฒนาต่อเรื่อยๆ และจำเป็นต้องใช้เงินในการวิจัยและพัฒนา (R&D)

7. รถยนต์ EV ไม่ใช่  Zero Emission  ที่แท้จริง

บางคนสนใจรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เพราะคิดว่ารถยนต์ไม่ปล่อยไอเสีย แต่ที่จริงแล้วรถยนต์ไฟฟ้ายังคงต้องพึ่งพาการใช้พลังงานถ่านหิน , แก๊สธรรมชาติ ในการผลิตไฟฟ้า ดังนั้นรถยนต์ไฟฟ้าจึงไม่ใช่รถยนต์รักษ์โลกอย่างแท้จริง ซึ่งในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนด้านการผลิตเชื้อเพลิงด้วยการใช้พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมแทน ถึงตอนนั้นรถยนต์ไฟฟ้าก็จะกลายเป็นรถยนต์ที่เป็น Zero Emission อย่างแท้จริง

รถยนต์ EV Vs รถยนต์ Hybrid

จากข้อดี – ข้อเสียของรถ EV และรถไฮบริดแต่ละข้อที่ได้รวบรวมมา หวังว่าคงทำให้หลาย ๆ คนได้เข้าใจถึงเรื่องข้อจำกัดของรถยนต์แต่ละประเภทและเลือกได้อย่างเหมาะสมว่าแบบไหนจะเป็นรถที่ใช่สำหรับคุณ ด้วยเทคโนโลยีและการพัฒนาในด้านยานยนต์ต่าง ๆ อาจทำให้ในอนาคตได้เห็นตัวเลือกสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดมากขึ้น รวมไปถึงมาตรการต่าง ๆ ในประเทศที่อาจสนับสนุนในเรื่องของภาษีนำเข้าให้หลาย ๆ คนเข้าถึงรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญของการเลือกรถยนต์ที่เหมาะสมที่สุดควรพิจารณาถึงเรื่องจุดประสงค์ของการใช้งานเป็นอันดับต้น ๆ รวมไปถึงการเตรียมงบประมาณสำหรับการบำรุงรักษาเอาไว้ด้วย

หากคุณกำลังสนใจจะ ซื้อรถมือสอง หรือ ขายรถคันเดิม แล้วล่ะก็… ที่ CARSOME เสนอราคาให้คุณคุ้มค่าที่สุด! เรามีการดำเนินการที่มีมาตรฐาน โปร่งใส รวดเร็ว ให้คุณซื้อหรือขายรถได้อย่างสบายใจ คลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย!

CTA CARSOME ซื้อขายรถยนต์มือสอง

อ่านบทความต่อ: 5 ข้อดีของการซื้อรถมือสอง ที่เจ๋งกว่าป้ายแดง มากกว่าแค่เรื่องราคา หรือ ซื้อรถมือสองกับ Carsome ได้รถคุ้มค่าราคาถูกใจ!