10 รถ Off Road สุดเท่ รถลุยป่า น่าใช้ปี 2023

10 รถ Off Road สุดเท่ รถลุยป่า น่าใช้ปี 2023

ใครที่มีกิจกรรมบุกป่าฝ่าดงบ่อย ๆ ไม่ว่าจะทริปไหน ๆ การเลือกรถคู่ใจอย่าง ออฟโรด หรือ Off Road นั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้การเดินทางของคุณนั้นง่ายขึ้น ซึ่งระบบต่าง ๆ ของรถออฟโรดแต่ละรุ่นก็มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะถนัดแบบไหนเป็นพิเศษ สำหรับวันนี้เราก็มี 10 รถออฟโรดน่าใช้ประจำปี 2023 มาพร้อมกับเทคนิคการขับรถเพื่อให้การขับออฟโรดของคุณง่ายขึ้นด้วย

ซื้อรถมือสอง กับ CARSOME การันตีคุณภาพรถยนต์ ผ่านการตรวจเช็กอย่างละเอียดถึง 175 จุดพร้อมปรับสภาพให้ได้มาตรฐาน รับประกันสูงสุด 2 ปีเต็ม ราคาโปร่งใส คุ้มค่า ซื้อไปแล้วไม่พอใจ การันตีคืนเงินภายใน 30 วัน

นึกถึง รถมือสอง ต้อง CARSOME

ซื้อรถยนต์มือสอง

Off Road แนะนำ 2023 พร้อมเทคนิคการขับ

10 Off Road น่าใช้ รถออฟโรดสวยๆ ปี 2023

สำหรับ รถออฟโรด ที่แนะนำมาในวันนี้แต่ละรุ่นก็เป็นรุ่นยอดฮิตที่ขึ้นชื่อเรื่องสมรรถนะเครื่องยนต์ที่มีความแรง เหมาะกับการขับรถลุยทางขรุขระเป็นพิเศษ ไปดูกันดีกว่าค่ะว่าจะมีรุ่นไหนบ้าง

1. ฟอร์ดออฟโรด Ford รุ่น Ranger Raptor X

รถออฟโรด Ford รุ่น Ranger Raptor X Off Road

สำหรับ Ford รุ่นนี้มีเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะแรงสูง ราคาไม่แรง Ford ซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องสมรรถนะเครื่องยนต์แรง พร้อมกับมีการออกแบบปรับให้ขับขี่ได้หลายโหมด เช่น โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมด Grass/Snow โหมด Mud/Sand โหมด Rock และโหมด Baja ซึ่งเป็นโหมดที่ออกแบบให้เหมาะกับการขับ Off Road โดยเฉพาะ

2. ออฟโรดสวยๆ Jeep รุ่น Gladiator Sport

ออฟโรดสวยๆ Jeep รุ่น Gladiator Sport

อีกรุ่นของ Jeep ที่ได้มีการเปิดตัวรุ่นใหม่อย่าง Gladiator ที่มีดีไซน์ที่หรูหราแต่คงยังสไตล์แบบ Off Road เอาไว้ และยังมาพร้อมกับ 4 ประตู ซึ่งเหมาะกับการขับรถวิบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะตัวเครื่องนั้นได้ถูกออกแบบตามหลักพลศาสตร์ มีน้ำหนักเบา ทำให้ง่ายต่อการขับขี่ได้ทุกสถานการณ์

3. 4×4 Off Road Suzuki Jimny Sierra

4x4 Off Road Suzuki Jimny Sierra

ออฟโรดของบ้าน Suzuki รุ่นจิ๋วคันนี้นำเข้าจากญี่ปุ่นในราคาเริ่มต้น 1.76 ล้าน มาพร้อมตัวถัง 3 ประตู 4 ที่นั่ง และเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 102 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตรจับคู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พาร์ทไทม์ เลือกเปลี่ยนระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ หรือ 4 ล้อ ได้เองแบบรถออฟโรดแท้ ตัวรถได้ดีไซน์ทรงสี่เหลี่ยมแบบสองกล่อง เรียบง่าย ออกแบบมาเพื่อการบุกลุยนอกถนนโดยเฉพาะ ภายในดูจริงจัง แข็งแกร่งในแบบออฟโรดโดยเฉพาะ

4. Toyota Hilux Revo Off Road

Toyota Hilux Revo Off Road

Toyota Hilux รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ขึ้นชื่อในเรื่องของช่วงล่างของรถที่มีความนุ่มเป็นพิเศษ แม้จะขับบนพื้นผิวถนนที่ขรุขระ ตัวรถก็ยังสามารถทำหน้าที่ยึดเกาะถนนได้ดี และยังถูกออกแบบมาเพื่อรองรับแรงกระแทกในการขับออฟโรดได้ด้วย สไตล์ของรถมีการออกแบบเป็นสไตล์อเมริกันให้ทันสมัยมากขึ้น

5. รถออฟโรดลุยป่า Jeep รุ่น WRANGLER 4-Door Sport

รถออฟโรดลุยป่า Jeep รุ่น WRANGLER 4-Door Sport

สำหรับรุ่นนี้มาพร้อมกับกำลังแรงม้าที่เพิ่มขึ้น มีกำลังขับเคลื่อน 450 แรงม้า และยังเป็นรถยนต์ 4 ประตูที่เสริมดีไซน์ความสปอร์ตให้กับตัวรถ อีกทั้งยังสามารถขับลุยน้ำได้ดี เพราะตัวรถมีความสูงจากพื้น 10.3 นิ้ว เพิ่มความสามารถในการลุยน้ำได้สูงถึง 32.5 นิ้ว ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะกับสายรถออฟโรดตัวจริง

6. 4×4 Off Road Nissan รุ่น Navara Pro-4X

4x4 Off Road Nissan รุ่น Navara Pro-4X

Nissan Navara รุ่นนี้มาพร้อมกับดีไซน์โฉบเฉี่ยวอันโดดเด่น ซึ่งรุ่นนี้จะมีการออกแบบช่วงล่างพิเศษเพิ่มเติมด้วยยางแบบ All-Terrain จากแบรนด์ YOKOHAMA พร้อมกับมีการปรับแต่งช่วงล่างให้เหมาะกับการขับออฟโรดเป็นพิเศษกว่า Navara รุ่นทั่วไป เห็นได้ชัดเจนว่าตัวล้อช่วงล่างจะมีการยกสูงกว่าปกติด้วย

7. รถออฟโรด Mitsubishi รุ่น Pajero Sport

รถออฟโรด Mitsubishi รุ่น Pajero Sport

Pajero Sport ก็เป็นอีกรุ่นยอดฮิตที่มักจะเห็นบ่อย ๆ รุ่นนี้จะแตกต่างตรงที่ห้องโดยสารมีความกว้างพิเศษ นั่งสบายไม่อึดอัด เหมาะเป็นรถครอบครัว และยังสามารถขับลุยน้ำลุยบก หรือขับในเมืองปกติธรรมดาก็สามารถขับได้สบาย ๆ เอกลักษณ์ของรุ่นนี้ที่สะดุดตาก็คือ Advanced Dynamic Shield Design ที่ทำให้หลายคนจดจำ Mitsubishi Pajero Sport ได้ดี

8. กระบะออฟโรด Isuzu รุ่น V-Cross 4×4

กระบะออฟโรด Isuzu รุ่น V-Cross 4x4

นอกจากจุดเด่นเรื่องประหยัดน้ำมันแล้ว Isuzu D-MAX รุ่น V-Cross ยังมีฟีเจอร์พิเศษในเรื่องของระบบ Terrain Command ที่มีการพัฒนาขึ้นมาให้ใหม่ สามารถทำงานได้ฉับไว แม่นยำ และยังมี Electronic Diff-Lock ระบบล็อกเฟืองท้ายที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ทำให้เสริมความมั่นใจในการพิชิตเส้นทางยาก ๆ วิ่งได้ทุกเส้นทาง มาพร้อมกับสมรรถนะการลุยน้ำที่สามารถลุยสูงสุดได้ถึง 0.8 เมตรอีกด้วย

9. ฟอร์ดแต่งออฟโรดสวยๆ รุ่น Ranger Wild Track

ฟอร์ดแต่งออฟโรดสวยๆ Ford รุ่น Ranger Wild Track

สำหรับ Concept ของ Ford รุ่นนี้มีภาพลักษณ์ที่สื่อถึง พร้อมลุยทุกสถานการณ์ เหมาะกับเป็นรถออฟโรดขาลุยที่ชื่นชอบการขับในระยะทางยาว ๆ รุ่นนี้ยังมีการปรับระบบส่งกำลังใหม่ที่สามารถขับได้นานถึง 150,000 กม. รูปลักษณ์ด้านหน้ามีการออกแบบดีไซน์ใหม่เป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมูตกแต่งตะแกรงสีดำเงาเล่นสีทอดยาวจรดกันชน พร้อมแต่งแถบสีส้มให้ดูทันสมัยขึ้น

10. Off Road Jeep รุ่น Renegade

Off Road Jeep รุ่น Renegade

Jeep รุ่นนี้ถือว่าเป็นรุ่นที่แตกต่างจาก Jeep รุ่นก่อน เพราะด้วยดีไซน์ที่มีการออกแบบให้ดูมีความ Modern บวกกับ City ในตัว แต่ยังคงฟังก์ชันการขับขี่แบบออฟโรดเอาไว้เช่นเดิม รูปร่างที่มีความโค้งมนทำให้รถออฟโรดดูเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายขึ้นกับทุกคนมากขึ้น ทั้งยังมีความพิเศษตรงที่เป็นรถแบบไฮบริด สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้และเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อได้

นึกถึง รถมือสอง ต้อง CARSOME

ซื้อรถยนต์มือสอง

เทคนิคการขับรถ Off Road

เทคนิคการขับรถออฟโรด

การขับรถบนเส้นทางออฟโรดสุดโหดนั้นต้องใช้ทั้งความรู้ ทักษะ และความมั่นใจในการเดินทาง การเตรียมพร้อมจึงเป็นหัวใจสำคัญในการขับรถออฟโรดสำหรับการขับรถออกนอกเส้นทางอันสะดวกสบายและทางเรียบ ซึ่งเทคนิดการขับรถออฟโรดหลัก ๆ มีดังนีั

1. ทำความเข้าใจการใช้อัตราทดความเร็วสูงและต่ำ (High and Low Range)

Ford Ranger มีระบบส่งกำลัง 2 ชุดด้วยกัน ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนสองล้ออัตราทดความเร็วสูง (2H) ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วสูง (4H) หรือระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วต่ำ (4L) ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง

เมื่ออยู่ในระบบ 2H รถจะขับเคลื่อนด้วยล้อหลังเท่านั้น ซึ่งถือเป็นโหมดการขับเคลื่อนปกติบนพื้นผิวเรียบ แต่เมื่อขับบนเส้นทางลูกรัง หรือบนพื้นผิวถนนที่ลื่น เช่นหลังฝนตก การเลือกระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อจะช่วยให้รถยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ ยังมาพร้อมระบบ Shift on the fly ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจากแบบสองล้อ (2H) เป็น 4H ได้โดยไม่ต้องหยุดรถ

อย่างไรก็ดี เมื่อผู้ขับขี่ต้องเดินทางผ่านเส้นทางที่ท้าทายมากขึ้น การเปลี่ยนมาใช้ระบบเกียร์แบบ 4L จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้รถค่อยๆ ขับเคลื่อนผ่านพื้นผิวขรุขระได้ดีกว่าด้วยอัตราทดเกียร์ต่ำที่ช่วยเพิ่มกำลังและแรงบิดมากขึ้น

2. เลือกโอกาสในการใช้อัตราทดความเร็วต่ำ

การเลือกใช้อัตราทดความเร็วต่ำเป็นกุญแจสำคัญของการขับบนพื้นที่ลาดชัน ทรายลึก หิน หรือโคลนลึก เนื่องจากการใช้อัตราทดความเร็วต่ำหมายถึงการใช้งานที่เกียร์ต่ำ จึงเหมาะกับการขับบนทางขรุขระที่ใช้ความเร็วน้อยกว่าการขับบนพื้นผิวเรียบ หรือที่ความเร็วต่ำกว่า 40 กม.ต่อชั่วโมง

ในการเลือกระบบ 4L ให้จอดรถนิ่งสนิทแล้วขึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ N ก่อน จากนั้นจึงหมุนปุ่มเพื่อเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณส่วนล่างของกระปุกเกียร์ (สัญลักษณ์ 2H, 4H และ 4L) เมื่อมีไฟสัญญาณ 4L ขึ้นที่หน้าปัดควบคุมหลังพวงมาลัยแล้ว จึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ D แล้วออกรถอย่างช้าๆ

3. ใช้ระบบล็อกเฟืองท้ายแบบ Rear Differential Lock เมื่อไหร่

เฟืองท้ายช่วยให้ล้อรถแต่ละล้อหมุนด้วยความเร็วที่ต่างกันได้เมื่อเข้าโค้ง โดยล้อฝั่งด้านนอกโค้งจะใช้วงเลี้ยวกว้างกว่าล้อที่อยู่ด้านในโค้ง

แต่เมื่อขับบนทางออฟโรด เฟืองท้ายทั่วไปอาจเป็นปัญหาในการขับขึ้นเนินหรือข้ามสิ่งกีดขวาง เนื่องจากเมื่อล้อยกลอยจากพื้นแล้ว เฟืองท้ายจะให้ความสำคัญกับล้อที่ลอยอยู่ ทำให้ล้อนั้นหมุนไปเรื่อยๆ อย่างไร้ประโยชน์ ส่วนล้อที่อยู่บนพื้นก็ไม่มีแรงพอที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้

ระบบล็อกเฟืองท้ายแบบ Rear Differential Lock ของ Ranger คือตัวช่วยล็อกล้อหลังทั้งสองด้านให้ได้รับแรงขับเคลื่อนเท่ากัน ดังนั้นเมื่อมีล้อใดล้อหนึ่งลอยอยู่ ล้ออีกข้างจะยังช่วยขับเคลื่อนให้รถเดินหน้าต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบล็อกเฟืองท้ายอาจไม่เหมาะในบางสถานการณ์ เช่น เมื่อต้องใช้วงเลี้ยวแคบๆ หรือเมื่อทั้งสี่ล้อสามารถรับน้ำหนักได้เท่ากัน รวมถึงการขับด้วยความเร็วสูงขึ้น และเมื่อขับบนทางลาดเอียง

4. ใช้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control: HDC) เมื่อไหร่

เมื่อต้องขับลงเนินลาดชัน เราขอแนะนำให้คุณเลือกใช้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขาของฟอร์ด เรนเจอร์ (ปุ่มที่มีสัญลักษณ์รถขับลงเนิน) โดยผู้ขับขี่ต้องจอดรถและเปลี่ยนเกียร์ไปที่ P ก่อนเปิดใช้งาน

จากนั้นจึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ D แล้วค่อยๆ ยกเท้าขึ้นจากแป้นเบรก ปล่อยให้รถคลานลงเนินช้าๆ แล้วเน้นใช้พวงมาลัยควบคุมทิศทางของรถ หากต้องการปรับความเร็ว ให้ใช้ปุ่ม Cruise Control (+/-) เพื่อเพิ่มหรือลดความเร็ว โดยระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันจะเหมาะสำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วที่ไม่สูงนัก ที่ความเร็ว 5-32 กม.ต่อชม.

5. การลดแรงดันลมยาง

หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการเพิ่มความสามารถในการขับบนเส้นทางออฟโรด และเพิ่มความนุ่มสบายภายในห้องโดยสารคือการลดแรงดันลมยาง โดยปริมาณลมยางที่จะปล่อยออกมานั้นขึ้นอยู่กับเส้นทางที่ขับ เราจึงแนะนำให้ผู้ขับขี่ตรวจสอบค่าแรงดันลมที่เหมาะสมกับเส้นทาง โดยข้อดีของการลดแรงดันลมยาง คือ พื้นผิวของล้อจะสัมผัสพื้นดินมากขึ้น ช่วยให้เกิดการกระจายน้ำหนักอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงมากขึ้น เหมาะกับการขับบนพื้นทรายหรือพื้นโคลน พื้นผิวยางดูดซับแรงกระแทกได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันล้อและส่วนต่างๆ ของล้อเมื่อขับบนพื้นที่ที่เป็นหินขรุขระ ช่วยมอบความนุ่มนวลและสะดวกสบายมากขึ้นเมื่อขับบนเส้นทางออฟโรด ยางที่อ่อนลงเล็กน้อยจะยึดเกาะพื้นผิวขรุขระเล็กๆ ได้ดีกว่า และลดแรงกระแทกภายในห้องโดยสารได้

หากใครมีแผนที่จะขับรถออฟโรดก็อย่าลืมตรวจเช็กสภาพรถก่อนขับทุกครั้ง และควรจะนำเครื่องลมยางติดไปด้วยในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งสภาพรถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเดินทางมาก โดยเฉพาะเส้นทางที่เป็นป่าเขาในการขับ Off Road เพราะเป็นเส้นทางที่หาความช่วยเหลือหากเกิดเหตุฉุกเฉินได้ยาก นอกจากเทคนิคการขับรถออฟโรดที่ดีและความพร้อมของรถยนต์แล้ว ก็อย่าลืมขับอย่างไม่ประมาทกันด้วย

หากคุณกำลังสนใจจะ ซื้อรถมือสอง หรือ ขายรถคันเดิม แล้วล่ะก็… ที่ CARSOME เสนอราคาให้คุณคุ้มค่าที่สุด! เรามีการดำเนินการที่มีมาตรฐาน โปร่งใส รวดเร็ว ให้คุณซื้อหรือขายรถได้อย่างสบายใจ คลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย!

CTA CARSOME ซื้อขายรถยนต์มือสอง

อ่านบทความต่อ: 26 รถยนต์ไฟฟ้า ปี 2023 พร้อมราคารถไฟฟ้าที่วางขายในไทย หรือ MG 4 Electric รถยนต์ไฟฟ้าขับหลัง วิ่งไกล 425 km. ราคาไม่ถึงล้าน