ขายรถยนต์ออนไลน์

ประเทศไทยพร้อมแล้ว..หรือยัง? สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ

นี่คือปี 2020 นอกเหนือจากการระบาดครั้งใหญ่แล้ว อนาคตก็คือตอนนี้นั่นเอง ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการเปิดตัวปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) คุณอาจเคยคิดว่าถนนของเรานั้นจะเต็มไปด้วย รถยนต์ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือ รถยนต์ไร้คนขับ (Self-driving Cars) แต่ทำไมกลับไม่มีเลยล่ะ? ทุกคนต่างก็สงสัยกันเป็นอย่างมากว่าการอยู่ในรถที่บังคับและเร่งความเร็วโดยอัตโนมัตินั้นจะเป็นอย่างไร แต่ถึงแม้จะมีความพยายามอย่างมากจากผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำเช่น เทสลา (Tesla), ฟอร์ด (Ford), อาวดี้ (Audi) และ วอลโว่ (Volvo) ที่พยายามปูทางด้วยเทคโนโลยีของพวกเขา แต่รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติก็ยังคงดูไกลเกินเอื้อม คุณสามารถซื้อรถที่ตรวจจับการชนได้โดยการเบรกอัตโนมัติหรือรถที่ช่วยให้คุณอยู่ในเลนขับรถได้ แต่คุณสมบัติเหล่านี้ก็ยังคงห่างไกลจากการทำให้เป็นรถที่ขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ แล้วในอนาคตอันใกล้นี้ สำหรับประเทศไทยรถยนต์ที่ไร้คนขับเป็นสิ่งที่เราคาดหวังได้หรือเป็นเพียงแค่ความฝันกันนะ?   รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือรถยนต์ไร้คนขับทำงานอย่างไร? แนวคิดเบื้องหลังรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัตินั้นค่อนข้างง่าย เพียงใช้รถที่ติดตั้งกล้องไว้ทั่วทุกมุมเพื่อติดตามวัตถุทั้งหมดรอบ ๆ ตัวรถ และ ให้รถตอบสนองหากกำลังจะชนกัน การฝึกระบบคอมพิวเตอร์ในรถยนต์เกี่ยวกับกฎของถนน และกำหนดให้พวกเขานำทางไปยังจุดหมายปลายทางของตนเอง แม้ว่าการปฏิบัติตามกฎจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับการขับขี่ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ขับรถได้เช่นเดียวกับที่มนุษย์ทำ ในขณะที่เราทำสิ่งต่าง ๆ เช่น สบตากับผู้ขับขี่คนอื่นเมื่ออยู่ในทางแยกเพื่อพิจารณาว่าใครจะไปก่อน หรือแม้กระทั่งตอบสนองต่อสภาพอากาศที่แตกต่างกัน และการมีวิจารณญาณนั้นเรื่องยากสำหรับ AI ในการตัดสินใจแบบอิสระ ถึงสิ่งอื่น …

ประเทศไทยพร้อมแล้ว..หรือยัง? สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ Read More »

เพิ่มมูลค่าการขายสุดปังให้รถของคุณ

      การคิดหาวิธีที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ดีที่สุดก่อนที่จะขายรถของคุณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและอาจทำให้รู้สึกปวดหัวได้ มีหลายสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาก่อนที่จะสามารถขายรถให้กับผู้ที่เสนอราคาสูงสุดได้สำเร็จ บทความนี้ได้นำเสนอเคล็ดลับบางสิ่งที่คุณสามารถนำมาพิจารณาหรือทำเองได้ เพื่อการขายรถให้ได้ราคาดีที่สุด ดูแลรถของคุณให้ดียิ่งขึ้น สิ่งแรกที่คุณควรพิจารณาก่อนขายรถคือการตรวจสอบสภาพและการบำรุงรักษารถ พยายามซ่อมแซมรถของคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกรวมเข้ากับราคาสุดท้ายของรถคุณ ดังนั้น หากรถคุณอยู่ในสภาพดีเยี่ยมจะส่งผลให้มูลค่าการขายต่อสูงขึ้นเช่นกัน ตรวจสอบเครื่องยนต์รถของคุณ เปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือแบล็คออยล์หากจำเป็น เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเหล่านี้นั้นไม่สูงนักนอกจากนี้คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าระดับของเหลวในระบบสำคัญๆ อยู่ในเกณฑ์ เปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนทั้งด้านหน้าและด้านหลังหากที่ปัดทำงานได้ไม่ราบรื่น ตรวจสอบไฟเบรกและระบบไฟส่องสว่างทั้งหมดหากจำเป็นต้องเปลี่ยน และสุดท้าย ให้กำจัดฝุ่นและสิ่งสกปรกที่อาจติดอยู่ภายในห้องเครื่องของรถ เพราะการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจเป็นจุดขายที่ดีในการเพิ่มโอกาสที่รถของคุณจะถูกซื้อในราคาที่สูงขึ้น   ตรวจสอบยางรถยนต์ของคุณ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าความดันลมในยางทั้ง 5 เส้น (4 เส้นหลักและยางสำรอง) เพียงพอ ถ้าหากยางเหล่านี้เสื่อมสภาพแล้ว คุณควรเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด หรือเปลี่ยนเป็นยางมือสองคุณภาพดีก็ได้เช่นกัน แต่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจเกี่ยวกับองค์ประกอบด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับยางรถยนต์ ตรวจสอบตัวถังรถยนต์ แม้ว่ารอยบุบและรอยขีดข่วนเพียงเล็กน้อยอาจไม่มีผลกับการขับขี่ แต่มันก็ส่งผลอย่างมากต่อมูลค่าการขายรถของคุณ หากคุณมีงบประมาณที่เพียงพอ คุณควรซ่อมแซมตัวถังรถเพื่อไม่ให้มีรอยบุบหรือรอยขีดข่วนอีกต่อไป ถ้าคุณมีงบที่จำกัด คุณสามารถซ่อมแซมด้วยตนเองเพื่อแก้ไขรายละเอียดเหล่านี้อยู่เสมอ ล้างคราบความเก่า เปลี่ยนรถให้เหมือนใหม่ อันดับต่อมา นอกเหนือจากเรื่องเครื่องยนต์, ยางและตัวถังรถแล้ว การทำความสะอาดภายในรถก็เป็นเรื่องที่ควรพิจารณาเช่นกันเวลาจะขายรถ คุณควรเก็บสิ่งของส่วนตัวทั้งหมดที่คุณมีในรถ เช่น รองเท้า,เสื้อผ้า, GPS, สายเคเบิล, สายไฟและอื่นๆ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งเหล่านี้ในรถของคุณ ก่อนที่คุณจะขับไปที่ดีลเลอร์หรือเต๊นท์รถใกล้บ้านคุณ …

เพิ่มมูลค่าการขายสุดปังให้รถของคุณ Read More »

car terms,คำศัพท์รถยนต์,

ศัพท์รถยนต์ 101: คำศัพท์รถยนต์พื้นฐาน ที่คนใช้รถควรรู้

ทุกคนรู้ไหมครับ? รถยนต์นั้นก็มีภาษาของตัวเองด้วยเช่นกัน คำศัพท์รถยนต์นั้นก็ซับซ้อน ชวนสับสน พอๆ กับการทำงาน ของเครื่องยนต์และชิ้นส่วนต่างๆ อาจไม่จำเป็นต้องรู้จักคำศัพท์รถยนต์ทั้งหมดเพื่อที่จะเข้าใจรถยนต์ แต่การรู้ศัพท์เหล่านี้ไว้ก็ไม่ศูนย์เปล่าแน่นอน นอกจากนี้การรู้คำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้จักรถของคุณได้ดีขึ้นหรือหากคุณอยู่ในการซื้อหรือขายรถคุณจะไม่รู้สึกสับสนเมื่อพนักงานขายพยายามอธิบายรายละเอียดให้คุณทราบ แรงม้า (Horsepower) แรงม้า หรือที่สากลนิยมย่อเป็น HP เป็นหน่วยวัดกำลังเครื่องยนต์ คำว่าแรงม้าใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการยานยนต์ และแตกต่างกันไปในแต่ละยานพาหนะ และ ในแต่ละประเทศ ซึ่งหนึ่งแรงม้าจะเท่ากับ 75 กิโลกรัมแรงต่อเมตร (kgf · m) ต่อวินาที เมื่อจำนวนแรงม้าสูงแสดงว่ารถขับเคลื่อนด้วยความเร็วที่เร็วมากขึ้นด้วยเช่นกัน ในรถยนต์ทั่วไปคุณมักจะพบเครื่องยนต์ 120 แรงม้า สำหรับรถ   เลขไมล์ (Mileage) ไมล์ หมายถึงระยะทางที่รถยนต์ต้องการในการเคลื่อนที่โดยใช้เชื้อเพลิง 1 ลิตร สำหรับระยะไมล์จะถือว่าสูงหรือต่ำนั้นขึ้นอยู่กับอายุรถและระยะทาง ในอีกแง่หนึ่ง เมื่อขึ้นอยู่กับอายุของรถ ระยะไมล์จะถือว่าสูง หากระยะทางที่ขับเท่ากับหรือสูงกว่า 100,000 กม. หากรถของคุณอยู่ในระยะนี้ โดยปกติรถจะต้องได้รับการซ่อมบำรุงเพื่อซ่อมแซมรักษากลไกบางอย่างของรถ รวมถึงน้ำมันและน้ำที่จำเป็น นอกจากนี้รถยนต์รุ่นเก๋าที่มีอายุ 15 ปีที่มีระยะทาง 100 (เครื่องหมายอื่นๆ บนแผงหน้าปัด) …

ศัพท์รถยนต์ 101: คำศัพท์รถยนต์พื้นฐาน ที่คนใช้รถควรรู้ Read More »

สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเลือกฟิล์มกรองแสงสำหรับรถของคุณ

แม้ว่ารถยนต์จะปกป้องคุณจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แต่คุณก็ยังคงต้องเผชิญกับอันตรายที่มองไม่เห็นจากแสงแดดระหว่างการเดินทาง ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ หรือ ออโต้ฟิล์ม (Auto Film) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ ไม่เพียงแค่ให้ความเป็นส่วนตัวสำหรับรถของคุณเท่านั้น แต่ยังเพื่อการปกป้องคุณจากรังสี UV ที่เป็นอันตรายอีกด้วย ฟิล์มกรองแสงรถยนต์นั้นมีให้เลือกมากมายในท้องตลาดซึ่งมีราคาและมาตรฐานที่หลากหลาย หากเป็นเช่นนี้เราจะเลือกฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่ “ใช่” ได้อย่างไร? บทความนี้ได้นำเสนอคำแนะนำจาก 3M เพื่อให้คุณทำความเข้าใจสิ่งสำคัญในการติดตั้งฟิล์มกรองแสงที่เหมาะสมสำหรับรถของคุณ ก่อนอื่น เราต้องมาทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ก่อน ค่าการส่งผ่านของแสงธรรมชาติ (Visible Light Transmission, VLT) และ ค่าการป้องกันแสงแดด (Sun Protection Factor, SPF) คืออะไร ระดับการส่องผ่านของแสงที่สามารถมองเห็นได้โดยปกติจะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเทียบเท่ากับเปอร์เซ็นต์ของแสงที่สามารถมองเห็นได้ที่เข้าสู่หน้าต่างรถ ตัวอย่างเช่น ค่าการส่งผ่านของแสงธรรมชาติ (VLT) 30% จะสามารถกรองแสงที่มองเห็นได้ 70% และให้แสงส่องผ่านเพียง 30% ของ VLT เท่านั้น ยิ่งมีเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำ ฟิล์มกรองแสงก็จะยิ่งทึบขึ้นด้วย ในทางกลับกัน ค่าการป้องกันแสงแดด (SPF) คือการวัดระยะเวลาที่ครีมกันแดดจะปกป้องผิวของคุณจากรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด B …

สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเลือกฟิล์มกรองแสงสำหรับรถของคุณ Read More »

ไฟสัญญาณเตือน และสัญลักษณ์ที่รถคุณนั้น สำคัญไฉน? (ตอนที่ 3)

ในบทความที่หนึ่งและสองของไฟสัญญาณเตือนและส่วนประกอบของไฟแสดงสถานะต่างๆ เราได้รวบรวมสัญลักษณ์พื้นฐานที่มักพบเห็นได้บ่อยรวมถึงในระบบรถยนต์ขั้นสูง ในตอนที่สามนี้เราจะเจาะลึกเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่เห็นได้ในเครื่องยนต์ดีเซล รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ และยานยนต์สมัยใหม่ที่มีระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน หรือ active safety ระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control Indicator) คุณอาจจะจำสัญลักษณ์นี้ได้ซึ่งมาจากสัญลักษณ์ระบบควบคุมความเร็ว หรือ Cruise Control จากในบทความที่ 2 บางครั้งสัญลักษณ์ของระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ จะแสดงด้วยตัวอักษร ACC และทำงานในลักษณะเดียวกันกับระบบควบคุมความเร็วทั่วไป ซึ่งความแตกต่างมาจากเซ็นเซอร์เรดาร์ที่อยู่ด้านหน้าของรถที่จะปรับความเร็วหากรถคันหน้าชะลอตัว ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor) สัญลักษณ์นี้แสดงด้วยรูปถ้วยกาแฟ ระบบจะตรวจจับและแจ้งเตือนคนขับหากตรวจพบว่าเกิดการสูญเสียการควบคุมพวงมาลัยหรือความสามารถในการควบคุมลดลง แสดงว่าผู้ขับขี่อาจง่วงนอนหรือสูญเสียการโฟกัสไปยังท้องถนน สัญญาณเตือนพวงมาลัยเพาเวอร์ (Power Steering Warning) โดยปกติแล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจะมีการแจ้งให้ผู้ขับทราบว่ารถมีระดับน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ที่ต่ำลง ให้คุณตรวจสอบระดับของเหลวและเติมให้เต็มหากจำเป็น สำหรับรถยนต์สมัยใหม่ที่มีพวงมาลัยเพาเวอร์ ไฟฟ้าสัญลักษณ์นี้อาจแสดงด้วยตัวอักษร EPS (Electric Power Steering) หากเกิดเหตุการณ์นี้ให้ลองสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่เนื่องจากอาจเกิดข้อผิดพลาด ให้รีบดำเนินการติดต่อศูนย์บริการของคุณเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ระบบช่วยนำรถเข้าจอด (Parking Assist Indicator) รถยนต์สมัยใหม่ที่มีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่จะมีเซ็นเซอร์รอบด้านเพื่อช่วยในการจอดรถในที่แคบ ซึ่งระบบจะเตือนด้วยเสียงหรือมีระบบกล้องเพื่อแสดงระยะห่างระหว่างรถ และ รอบๆคันรถ ระบบเตือนการออกนอกช่องทางเดินรถ (Lane …

ไฟสัญญาณเตือน และสัญลักษณ์ที่รถคุณนั้น สำคัญไฉน? (ตอนที่ 3) Read More »

5 จุดตรวจสภาพรถเด่นๆ (จาก 175 จุด) ของ Carsome ที่คุณควรรู้

ด้วยบริการแบบครบวงจรของ Carsome ทำให้การขายรถมือสองของคุณนั้นเป็นเรื่องง่าย โดยใช้เวลาเพียง 30 นาที หรือน้อยกว่านั้นเพื่อให้ผู้ตรวจสอบสภาพรถมืออาชีพและได้รับการรับรองของเราทำการตรวจเช็คสภาพรถ 175 จุดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนที่เราจะประเมินราคารถของคุณ ในบทความนี้ เราได้รวบรวมห้าจุดเด่นที่เป็นกุญแจในการประเมินสภาพรถของคุณ 1. การตรวจสอบการใช้งานบนถนน – ระบบบังคับเลี้ยว หนึ่งในการตรวจสอบคือการตรวจสอบการบังคับเลี้ยวของรถยนต์ การบังคับเลี้ยวที่มีระยะฟรี (Free play) หรือระยะที่พวงมาลัยหมุนมากเกินไปจะเกิดขึ้นเมื่อสามารถหมุนพวงมาลัยได้หนึ่งนิ้วหรือมากกว่านั้นโดยที่ล้อไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ซึ่งถ้าหากไม่มีการบังคับเลี้ยวที่เที่ยงตรง ผู้ขับขี่จะไม่สามารถควบคุมรถได้อย่างแม่นยำในขณะเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งตามค่ามาตรฐาน การตอบสนองของพวงมาลัยควรรมีระยะฟรี (Free play) เพียงหนึ่งในสี่นิ้วเท่านั้น  2. การตรวจสอบช่วงล่าง– ยางแท่นเครื่อง (Engine Mounts) ยางแท่นเครื่อง (Engine Mounts) เป็นส่วนที่ยึดเครื่องยนต์เข้ากับฐานรถ หรือ แชสซีส์ (Chassis) ของรถยนต์ ซึ่งนอกเหนือจากการยึดเครื่องยนต์ให้เข้าที่แล้วยังมีจุดประสงค์เพื่อช่วยลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์และให้การขับขี่ที่ราบรื่นยิ่งขึ้น โดยส่วนใหญ่ยางแท่นเครื่องจะสึกหรอหรือแตกหักเนื่องจากอายุการใช้งานและจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ สัญญาณเตือนว่ายางแท่นเครื่องจำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแล้ว คือเมื่อมีเสียงและการสั่นสะเทือนมากเกินไปซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อส่วนประกอบอื่น ๆ ที่อยู่ใต้ฝากระโปรง 3. การตรวจสอบสภาพภายนอก– รอยตัดและรอยต่อของรถ จุดตรวจสภาพรถที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการตรวจสอบความสมบูรณ์ของแชสซีสของรถ การตรวจสอบภายนอกทั้งรอยตัดและรอยต่อก็เพื่อตรวจสอบว่ารถเคยเกิดอุบัติเหตุหรือไม่และได้รับการซ่อมแซมในพื้นที่สำคัญแล้วหรือยัง   4. การตรวจสอบภายนอก …

5 จุดตรวจสภาพรถเด่นๆ (จาก 175 จุด) ของ Carsome ที่คุณควรรู้ Read More »